การเมืองสะอาด-ปลอดทุจริต ปิดช่องโหว่รัฐธรรมนูญ
“ทำไมคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ถ้าทำผิดต่อหน้าที่ แล้วบอกว่า5ปีผ่านไปแล้วเอามาเถอะ เบื้องหลังเหตุผลคืออะไร ผมก็พร้อมจะเปิดใจรับฟังนะ ขอให้บอกมาก็แล้วกันว่าเฮ้ย5ปีแล้วมันคงไม่โกงอีก ก็ให้ยืนยันมา ถ้าคุณยืนยันได้ผมก็เชื่อ”
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
ในที่สุด “มีชัย ฤชุพันธุ์” อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หนึ่งในปรมาจารย์ด้านกฎหมาย ก็กลับเข้าสู่สนามการเมืองอีกครั้ง ภายหลังตัดสินใจรับตำแหน่งประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
แม้มีชัยจะประกาศต่อสื่อมวลชนไม่ได้อยากเข้ามาทำงานใหญ่ครั้งนี้เท่าไรนัก แต่ด้วยความจำเป็นทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภารกิจสำคัญไปได้
โพสต์ทูเดย์ได้มีโอกาสกับอาจารย์ท่านนี้ในหลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องทิศทางและเป้าหมายของการร่างรัฐธรรมนูญ
มีชัย อธิบายกรอบการทำงานว่า ต้องทำตามมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่กำหนดแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญเอาไว้ ส่วนอื่นๆ เป็นเรื่องที่ กรธ.ต้องมานั่งคิดกันว่ากลไกต่างๆ ของบ้านเราที่เอามาจากต่างประเทศมีส่วนไหนบ้างที่ใช้แล้วไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง หรือมันไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้ หรือมีช่องโหว่หรือช่องว่างอย่างไร ตรงนั้นต้องพยายามหาทางไปปิดช่องว่างให้ได้ เพื่อทำให้มันสอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองหรือวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ในมุมมองของประธาน กรธ.คิดว่า ปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้ไข คือ วินัยของคนไทยและระบบการศึกษาของประเทศ
“ปัญหาที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย คือ คนไทยเราไม่มีวินัย ไม่ค่อยนึกถึงหน้าที่ควบคู่กันไปกับสิทธิ หรือบางกลุ่มบางพวกก็จะเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงในสังคมไทย ไม่ว่าจะออกกฎหมายหรือเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไร ถ้าเราไม่ปรับระบบการศึกษาเพื่อที่จะสร้างระเบียบวินัย สร้างความใจกว้าง การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ว่าจะใส่มาตรการอะไรลงไป มันก็ยากที่จะสัมฤทธิผลได้ เพราะว่าคนจะหาช่องทางไปได้อยู่เรื่อยๆ และช่องทางที่จะหากันบางทีมันก็ไม่นึกว่าจะเป็นกันไปได้ถึงขนาดนี้”
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ก่อนหน้านี้เราไว้ใจว่าคนสูงสุด คือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่จะมีดุลพินิจคิดอ่านตามวิชาความรู้ความสามารถของตัวเอง และเราไม่คิดหรอกว่ามันจะมีกลไกที่จะมาทำให้รัฐมนตรีกลายเป็นมือปืนรับจ้าง สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจากความไม่มีวินัย และการไม่เห็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เราก็ได้ยินได้ฟังมาเยอะว่าคนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีไม่น้อยที่คอยรับฟังคำสั่ง ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร มันระดับประเทศนะ
“เราถึงได้เริ่มคิดไปถึงจุดเริ่มต้น คือ ระบบการศึกษา และอะไรที่เขียนกันเยอะแยะ ในรัฐธรรมนูญบางทีมันไม่ได้เกิดอะไรเท่าไหร่เลย แต่ตัวระบบการศึกษา เป้าหมายของคน และวิสัยทัศน์ที่เห็นว่าคนไทยควรเป็นอย่างไร ผมคิดว่าอันนี้มีความจำเป็น และเป็นเป้าหมายในระยะยาว เพราะจะมาว่าวันดีคืนดีวันรุ่งขึ้นเปลี่ยนความคิดคนรุ่นนี้ใหม่ทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเริ่มไต่กันตั้งแต่เด็กๆ”
เรื่องการมีนอมินีทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ในแนวความคิดของอาจารย์จะมีการปิดช่องตรงนี้อย่างไร? ประธาน กรธ.ระบุว่า “เบื้องต้นเราเห็นปัญหาแล้ว เราคิดว่าปัญหานี้คงเป็นที่ยอมรับกันได้ในสังคมว่ามันมีปัญหาจริงๆ ถ้าใครเห็นว่ามันไม่มี เราเพ้อฝันไปเองก็บอกมา เราจะได้นอนตายตาหลับ แต่ถ้ามันมีผมก็คิดว่าเรามาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะหาจุดแก้ไขได้อย่างไร ตรงนี้ไม่ใช่พอมาทำงาน มาปุ๊บ จะคิดทางออกได้ทันที คงต้องช่วยๆ กันคิด”
จากนั้น มีชัย อธิบายถึงความสำคัญของการมีกรอบการร่างรัฐธรรมนูญตามที่มาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดไว้ ภายหลังบางฝ่ายต้องการให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อยกเลิกมาตราดังกล่าว
“มีคนพูดว่าให้ยกเลิกกรอบตามมาตรา 35 ผมก็จะถามว่าไหนข้อไหนที่คุณอยากบอกให้เลิก กรอบมาตรา 35 ข้อที่บอกว่าต้องป้องกันการแสวงหาประโยชน์เพื่อพวกพ้อง ข้อนี้มันเลวตรงไหน ถ้าประชาชนบอกว่าตรงนี้มันทำให้ขัดใจ โกงไม่สะดวกก็บอกมา ถ้าคนทั้งประเทศบอกว่าต่อไปนี้โกงกันเถอะ ผมจะได้เขียนรัฐธรรมนูญว่าต่อไปนี้คณะรัฐมนตรีไม่ต้องเอาเงินเดือน ทำแค่ผลงาน ได้เท่าไหร่และก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ไป เอาเลย ถ้าทุกคนชอบก็เอา”
“หรือเรื่องการป้องกันคนทุจริตต่อหน้าที่และการเลือกตั้งไม่ให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ช่วยบอกผมหน่อยสิว่ามันไม่ดีตรงไหน ผู้ใหญ่บ้านตัวเล็กๆ ถ้าไปทำความผิดเรื่องการพนันหรือเรื่องป่าไม้ ความผิดเรื่องศุลกากร หรืออาวุธปืน เขาห้ามเป็นผู้ใหญ่บ้านตลอดชีวิต แม้จะมีการนิรโทษกรรม แม้จะมีการล้างมลทิน ก็ยังห้าม นั่นผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้าน
แล้วทำไมคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ถ้าทำผิดต่อหน้าที่ แล้วบอกว่า 5 ปี ผ่านไปแล้วเอามาเถอะ เบื้องหลังเหตุผลคืออะไร ผมก็พร้อมจะเปิดใจรับฟังนะ ขอให้บอกมาก็แล้วกันว่า เฮ้ย 5 ปีแล้วมันคงไม่โกงอีก ก็ให้ยืนยันมา ช่วยยืนยันผมได้หรือไม่ ถ้าคุณยืนยันได้ ผมก็เชื่อ”
แสดงว่าในความตั้งใจคือต้องจัดการเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองให้เด็ดขาด โดยให้มีผลย้อนหลัง? อาจารย์มีชัย บอกว่า “ไอ้นี่กำลังคุยกันอยู่ เรื่องบางเรื่องอาจต้องมีผลย้อนหลัง ต้องคลีน (สะอาด) คนที่จะมาปกครองเรามันต้องคลีน เราจะได้ยกมือไหว้ได้สนิทใจ”
“เรากำลังดูปัญหาที่มันเกิดขึ้น แล้วเรากำลังนั่งไล่ไปทีละข้อว่าเราจะคิดมาตรการอะไรออก และศึกษากันว่าจะเขียนมาตรการออกมาอย่างไร จึงยังบอกอะไรในขณะนี้ไม่ได้หรอก มันไม่มีพิมพ์เขียว มีแต่กระดาษเปล่า มาแล้วก็มีกรอบว่ากระดาษขนาดเอ4 มีแค่นี้”
สำหรับเรื่องการวางกลไกเพื่อป้องกันและปราบปรามทุจริต อาจารย์มีชัย ยืนยันว่า เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญและต้องมีมาตรการอุดช่องว่างให้ได้ โดยไม่เน้นเรื่องของการตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมาเพิ่มเติม
“ถ้าเราแก้ปัญหาพื้นฐานไม่ได้ เราตั้งมากี่องค์กรเราก็จะเจอปัญหาว่า จะเอาใครมาทำหน้าที่ในองค์กรนั้น ดังนั้นเราจึงเชิญองค์กรอิสระเข้ามาคุยกัน เพื่อจะดูกันว่า แต่ละองค์กรมีปัญหาอะไร กลไกที่มีอยู่มันขาดตกบกพร่องอย่างไรถึงยังทำงานไม่สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น ป.ป.ช.เราก็มุ่งมั่นที่จะให้เขาเป็นกลไกในการตรวจสอบการทุจริต แต่ทำไมมันยังเกิดปัญหาการทุจริตรุนแรง ยังขาดกลไกอะไร เป็นต้น เราค่อยๆ แสวงหาข้อมูลกันไป”
นอกจากนี้ มีชัย วิพากษ์สาเหตุของการเกิดวิกฤตการเมืองในช่วงระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยยอมรับว่าไม่คาดคิดว่าการเมืองไทยจะมีปัญหามาถึงจุดนี้
“แล้วคุณเคยคิดหรือไม่ว่า จากเมื่อปี 2549 มาถึงตรงนี้มันจะเป็นอย่างนี้ ตัวผมเองก็ไม่ได้คิด มันก็คงเป็นวิวัฒนาการของมัน เมื่อมีการออกนอกกฎที่วางไว้และหาช่องโหว่ออกจากกฎกันมากขึ้นมันก็หลีกไม่ได้ จริงๆ เหตุที่มันเกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากกฎตามรัฐธรรมนูญ มันเกิดขึ้นเพราะพยายามแหกกฎออกจากรัฐธรรมนูญมากกว่า ถ้าคุณไม่แหกกฎมันก็คงไม่เกิดเรื่อง”
“เอาอย่างนี้ คุณเคยคิดหรือไม่ว่าวันหนึ่งเราจะเจอ สส.ที่เอาบัตรมาเสียบต่อๆ แล้วมาบอกว่าไม่รู้สึกว่าเป็นความผิด เพราะทำอย่างนี้เป็นประจำไม่เห็นเป็นอะไร ไอ้นั่นแหละที่ผมตกใจ โอ้ว! ความคิดคนในระดับนี้เป็นอย่างนี้มันลำบากแล้ว”
สุดท้าย ประธาน กรธ.ได้ฝากบางข้อความถึงฝ่ายที่ชอบกล่าวหาว่า รัฐธรรมนูญที่มีชัยเป็นผู้ทำหน้าที่ร่างมักจะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยไว้อย่างน่าสนใจ
“ตรงไหนที่มันไม่เป็นประชาธิปไตย อะไรคือประชาธิปไตยในความหมายนั้น ช่วยบอกผมที ก็เห็นพูดกันว่าถ้ามีการเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตย คณะรัฐมนตรีได้รับรองจากสภาก็เป็นประชาธิปไตย เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่เป็นในอย่างที่คุณอยากให้เป็นในบางจุดบางประเด็นต่างหาก ผมก็เห็นเลือกตั้งกันมาตามรัฐธรรมนูญที่ร่างกันเอาไว้ แล้วมาเป็นนายกรัฐมนตรีกัน แล้วถ้าไม่เป็นประชาธิปไตย ตกลงที่เป็นนายกรัฐมนตรีกันมาไม่เป็นประชาธิปไตยหรอกเหรอ ก็มาจากรัฐธรรมนูญทั้งนั้น”
“ไหนลองบอกหน่อย ผมจะได้ระมัดระวัง ถ้าบอกว่ากระบวนการการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย โอเค ก็จะได้เลิกเลือกตั้ง บอกมา การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็มีตลอด เพียงแต่เปลี่ยนตรงวิธีการเลือกตั้ง เขตบ้าง บัญชีรายชื่อบ้าง หรือตัวจำนวน อย่างอื่นก็เหมือนกันหมด ตอนนี้ผมให้ไปศึกษากันว่าการเลือกตั้งของประเทศตั้งแต่อดีตว่ามีความแตกต่างอย่างไร” มีชัย กล่าวตบท้าย
สร้างปรองดอง ผ่านกลไกพิเศษ
การสนทนากับอาจารย์มีชัยถึงการถามเรื่องความคาดหวังในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ภายใต้คำถามว่ามั่นใจว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ถูกฉีกอีกหรือไม่ รวมไปถึงการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในอนาคต
"เวลาคุณเขียนบทความ คุณตั้งความหวังไว้หรือไม่ว่าจะมีคนเอาไปเก็บไว้ในอาไคป์ (Archive: หอจดหมายเหตุ) คุณก็ตั้งใจเขียนให้มันดีที่สุดตามสติปัญญาที่คุณมี ผมก็ทำอย่างเดียวกัน ส่วนผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ เพียงแต่ต่างกันที่ว่าของบทความที่คุณเขียนนั้นเขียนตามแนวคิดของคุณ100% ใครมายุ่งเกี่ยวไม่ได้ แต่ผมเขียนตามแนวคิดผม100%ไม่ได้"
"ผมต้องเขียนตามแนวคิดของชาวบ้านทั้งหมด เพราะฉะนั้น เมื่อผมเขียนอย่างนั้นแล้วจะให้ผมรับรองว่าจะใช้ได้หรือไม่ได้ตลอดไป มันก็รับรองไม่ได้หรอก มันก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ในวันข้างหน้ายังอยู่ในสภาพที่เราคาดการณ์หรือไม่"
อาจารย์มีชัยพยายามเทียบเคียงว่า "มันก็เหมือนกับกฎหมายทั่วๆไป เวลาเราเขียนกฎหมายเราก็จะคาดการณ์ว่าไปในช่วง10 ปี 20 ปีเนี่ยมันจะเป็นอย่างนี้ เราก็จะเขียนกฎหมายป้องกันเอาไว้ แต่พอไปถึงเข้าจริงๆมันไม่ใช่ พอไม่ใช่บางทีปีเดียวมันก็ต้องแก้แล้ว เพราะมันไม่ใช่อย่างที่เราคาดการณ์ไว้ เช่น เราคิดว่าที่เราเขียนอย่างนี้เราเขียนสำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ใช้เท้าเดิน เราจะไม่นึกเลยว่าใครจะเอาศีรษะเดิน วันหนึ่งสังคมเกิดเปลี่ยน เอาศีรษะเดินกันเป็นแถว กฎหมายที่เขียนไว้ก็ใช้ไม่ได้ ก็ต้องไปกลับหัวกลับหางใหม่"
ส่วนเรื่องการสร้างความปรองดองนั้นอาจารย์มีชัยมีมุมมองถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่ในอดีตจนมาถึงปัจจุบันว่า "มันอาจจะเกิดจากแนวคิดที่แตกต่างกัน อย่างเมื่อสองสามวันก่อน มีคนมาพูดเรื่อยในเรื่องการทุจริตและแนวโน้มว่าถึงจะทุจริตแต่มีผลงานและเขาก็เผื่อแผ่ ผมก็ถามว่าตกลงมันเป็นความดีเป็นนอร์ม (Norm: มาตรฐาน) ของสังคมหรือไม่
"ถ้าเป็นนอร์มก็ไม่ยาก เราก็เขียนให้ทุกคนทำอย่างเดียวกัน ไอ้ตรงนี้ถ้าแนวคิดตรงนี้มันเป็นเสียงข้างมากเราก็ได้ค่อยๆกลั่นกรองคนอีกพวกหนึ่งที่มันซื่อและทื้อให้มันรู้จักโกงแล้วเอามาแบ่งกัน ระบบการศึกษาก็เปลี่ยนใหม่มาเป็นโกงได้เป็นโกง เนี่ยผมกำลังรออยู่ ใครก็ได้ทำมาให้ผมดูมาที ก็เอา ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร อีกไม่กี่ปีผมก็ไปแล้วตายแล้ว"
"มันคงแก้ไขปัญหาความปรองดองในรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่อาจมีกลไกเพื่อสร้างให้เกิดการปรองดอง เพราะรัฐธรรมนูญมันไม่สามารถเขียนรายละเอียดได้ เพราะถ้าเขียนรายละเอียดลงไปจะทำให้เกิดการตายตัว ทุกคนต้องทำ พอไปเขียนอย่างนั้นแล้วถ้าเกิดทำไม่ได้ขึ้นมาก็จะล้มเหลวเลยคราวนี้ ดังนั้น ต้องเป็นเรื่องของการสร้างกลไกเพื่อให้เกิดการปรองดอง"
พอถามลงรายละเอียดว่าควรมีองค์กรเข้ามาทำหน้าที่สร้างความปรองดองอย่างคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) หรือไม่ ประธานกรธ. แจกแจงว่า "เรื่องนี้ยังไปไม่ถึง เพราะเรากำลังพูดถึงหลักของรัฐธรรมนูญทั่วไป เรื่องนั้นเป็นเฉพาะเรื่อง มันคงตอบไม่ได้ พอเราร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก็ต้องมาดูว่าควรมีการป้องกันหรือไม่ ถ้ามันไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไร แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าชาวบ้านเขาว่ามาอย่างไรด้วย"
ไม่อยากยุ่ง แต่ปฏิเสธลำบาก
อาจเรียกได้ว่า กลายเป็นความคุ้นเคยในทางการเมืองของประเทศไทยไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเกิดการรัฐประหารทีไร มักจะมีชื่อของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย ไปร่วมวงด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะกับการรัฐประหารสองครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2549 และ 2557
มีชัย บอกความในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ผมก็รำคาญเต็มที (หัวเราะ) มันก็เหมือนกับคุณที่เป็นสื่อมวลชนแหละ เวลาจะไปสัมภาษณ์เรื่องสำคัญๆ ทำไมต้องเป็นคุณที่ต้องไปทำ ที่ผ่านมาผมก็เลี่ยงมาตลอดนะ คุณก็เห็นว่าปฏิวัติครั้งนี้ผมก็เลี่ยงและไม่ได้เข้าไปยุ่งเลย”
“ผมหนีไปอยู่เมืองนอก จนเขาปฏิวัติเสร็จ คำสั่งอะไรที่ออกมาผมก็ไม่เคยไปยุ่งกับเขาเลย ตอนที่เขาส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไปทำที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั่นแหละที่ผมไปช่วยเขาทำหน่อย เพราะว่าเราจะปฏิเสธก็ไม่ได้”
พอถามย้ำไปว่า ทำไมถึงปฏิเสธที่จะไม่ขอทำงานไม่ได้? อาจารย์มีชัยให้คำตอบกลับมาว่า “ก็มันหน้าที่ของกฤษฎีกาที่ต้องทำ แล้วคุณมีเหตุอะไรที่จะปฏิเสธไม่เขียน คุณก็มีความรู้อยู่ ถ้าเป็นคุณคุณจะปฏิเสธหรือไม่ อย่างน้อยผมก็สั่งใส่อะไรต่ออะไรในแนวความคิดของผมลงไปได้บ้าง เช่น เรื่องทุจริต ผมก็ใส่ลงไป”
ในห้วงความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของอาจารย์มีชัย ในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่าตัวเองจำไม่ได้ว่าถูกทหารเชิญไปทำงานมาแล้วกี่ครั้ง และเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอยากจะจดจำเท่าไหร่นัก
“จำไม่ได้แล้ว มันขี้เกียจจำ แต่เอาอย่างนี้ ทุกครั้งที่ไปทำงานผมไม่รู้จักใครเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เข้าไปแล้วไม่รู้ว่าหัวคณะปฏิวัติคือคนไหน คือ เขาเอาทหารตามผมไป ผมก็ไปกับเขา พอเขาเดินลงมาสองคน บิ๊กบัง กับ บิ๊กตุ่น ผมก็ไม่รู้ว่าใครคือบิ๊กบัง ใครคือบิ๊กตุ่น ผมไม่ค่อยมีความคุ้นเคยกับทหารเท่าไหรหรอก พอเสร็จภารกิจผมก็จะออกมา ผมก็จะจำชื่อใครไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเคยรู้จักกัน พอกลับมาเห็นหน้าก็พอจำได้”
“ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับใคร ผมเข้าไปผมก็หัวเดียวกระเทียมลีบ เสร็จแล้วผมก็กลับมา เบี้ยประชุมสักบาทก็ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องสนุกหรอกนะที่คุณถูกคนให้เอาไปทำโน่นทำนี่ แต่ด้วยอาชีพในการทำงานร่างกฎหมายมันเลยถูกบังคับไปว่าถึงเวลาเขาจำเป็นต้องใช้ เขาไม่นึกถึงใคร เขาก็มานึกถึงผม ผมพยายามโบ้ยมาตลอด ผมไม่ได้แฮปปี้เลยและมันไม่ใช่ของสนุกเลย พอดีพอร้ายถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะพลอยติดคุกไปกับเขาด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรไปกับเขาเลย”
คิดหนักหรือไม่เวลาถูกเชิญมาทำงานร่วมกับคณะปฏิวัติ? อาจารย์มีชัย ตอบแบบอารมณ์ดีว่า “คราวนี้จะคิดมาก เพราะรู้สึกว่าความเห็นแก่ตัวจะเริ่มเกิดมากขึ้น เพราะมันก็สบายดีอยู่แล้ว ผมก็ไปเที่ยวไปโน่นไปนี่เรื่อยไป งานการก็พอมีทำอยู่บ้าง ประชุมเช้า กลางวัน เย็น สตางค์ก็ได้เยอะ (หัวเราะ) ผมก็สบายของผมดีอยู่แล้วไม่ต้องมายุ่งกับราชการ”
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ในช่วงของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกได้ปรากฏรายงานว่าอาจารย์มีชัยจะเข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจเลือก “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” มารับงานใหญ่แทน ซึ่งในวันนี้อาจารย์มีชัยยอมรับว่าได้ถูกทาบทามให้เป็นประธาน กมธ.ยกร่างฯ ในขณะนั้นจริง
“เขาก็ชวน อาจารย์บวรศักดิ์ก็พยายามเคี่ยวเข็ญให้ผมมาเป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และอาจารย์บวรศักดิ์จะเป็นรองประธาน ผมก็บอกว่ายังไงก็ไม่เอา ไปเถอะ ไปทำกันเองเถอะ มีอะไรให้ผมช่วย ผมก็ช่วยให้ ขออยู่ข้างหลัง พอเอาเข้าจริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ควรลงช่วยเขาเท่าไหรหรอก เดี๋ยวเขาจะกังวลใจกันเปล่าๆ”
ที่ไม่รับตอนแรก เป็นเพราะอาจารย์มองสถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าต้องเกิดปัญหาแบบนี้? อาจารย์มีชัย ตอบทันทีว่า “ไม่ได้มองสถานการณ์อะไรเลย เพราะผมไม่อยากทำ ผมก็เหนื่อย จริงๆ ชีวิตผมก็สบายขึ้นแล้วนะ ผมอยากไปไหนมาไหนผมก็ไป และคนก็เริ่มไม่ค่อยรู้จักผมเท่าไหร่แล้ว ใช้เวลา 7-8 ปี ที่จะทำให้การไปเดินตลาดของผมไม่ถูกใครทัก ผมก็สบาย ผมอยากยืนกินขนมครกอยู่ตรงไหน ผมก็ทำได้ตามสบาย แต่นี่ผมกำลังเริ่มใช้ชีวิตลำบากอีกแล้ว
“เพราะสื่อเอาชื่อผมไปออกทุกวัน คนเขาจะลืมผมอยู่แล้ว เมื่อวันก่อนมีคนวิ่งเข้ามาถามว่า ใช่อาจารย์มีชัยใช่ไหม ขอถ่ายรูปด้วยหน่อย ผมก็คิดว่าเอาละเว้ยหายนะมาแล้ว” อาจารย์มีชัย กล่าวแบบติดตลก
สำหรับการเข้ามาทำงานใหญ่ในฐานะประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ อาจารย์มีชัย ยอมรับว่า “ไม่ได้มีความตั้งใจ และไม่ได้มีความอยากหรือความต้องการอะไร ถ้าเลี่ยงได้ผมก็เลี่ยง ดังนั้นตอนที่มีคนมาคุยกับผม ผมก็บอกว่าขอคุยกับนายกรัฐมนตรีก่อน ผมถึงไม่พูดไม่จาอะไรเลยคุณก็เห็น สื่อมวลชนลงข่าวอะไรกันก็สุดแต่ใครจะนึกอะไรได้ก็ลงกันไป ผมก็ไม่พูดเลยสักคำ”
จากนั้นหัวเรือในการเขียนรัฐธรรมนูญได้ฝากข้อความถึงฝ่ายคัดค้านการร่างรัฐธรรมนูญว่า “ประเทศชาติเป็นของทุกคน ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มวางกติกาของประเทศชาติ จะไปมัวกังวลเรื่องอะไรอื่นทำไม ควรมากังวลว่าแล้วเราจะวางกติกาอย่างไร ถ้าคิดว่ามีแนวความคิดดีๆ ก็บอกมา เราจะได้เอามาพิจารณากัน มันจึงจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
“ไม่ใช่หน้าที่ของผมเพียงคนเดียว ผมก็เพียงเป็นพ่อครัวที่เอามาปรุงให้ผมเปิดรับฟังความคิดเห็นมาตลอด ใครคิดได้วันไหนก็บอกมา และเปิดรับทุกทาง ใครมาเจอหน้าผมแล้วมาบอกกับผม ผมก็จะจดเอาไว้ เพียงแต่ว่าที่เสนอมานั้นอย่ามาคาดคั้นว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องทำตามนั้น เพราะจะมีคนอื่นที่บอกอีกอย่างเหมือนกัน ต้องหัดทำใจให้กว้างๆ รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย” ประธาน กรธ. กล่าวสรุป