พระพยอม อ่านเกมธัมมชโย แนะตัดเสบียง ส่งทหารปิดล้อม
"กรณีของพระธัมมชโย ยืนยันว่า อย่างไรก็มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีแผนอะไรมากมาย เพียงแต่เป็นเรื่องของการรักษาหน้าตา รักษาผลประโยชน์ และขอให้จำไว้ว่า พระที่เกิดเรื่องเสียหายเสื่อมเสีย จะมีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ"
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
สังคมกำลังจับตามองทุกย่างก้าวกับกลยุทธ์ของวัดพระธรรมกาย ที่ดูเหมือนว่าจะยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม? แต่ไม่มีใครทราบเวลาที่แน่ชัด รวมทั้งเดาไม่ออกว่าจะจบลง ณ จุดใดกันแน่
แม้ล่าสุดแพทยสภามีมติเข้าไปตรวจอาการอาพาธของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาในข้อหาสมคบและร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร จากการรับเช็คของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ตามคำขอกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ แต่ทางทีมโฆษกวัดพระธรรมกายกลับท้วงติงไม่ให้แพทยสภานำแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจ เพราะเกรงไม่ได้รับความเป็นธรรม พร้อมยืนยันไม่ให้ดีเอสไอเข้าร่วมตรวจ
ขณะที่ท่าทีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งสัญญาณในทำนองถึงอย่างไรก็ต้องจับกุมพระธัมมชโยในชาตินี้ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลเองไม่ต้องการจะเปลืองตัวในกรณีนี้ เนื่องจากลูกศิษย์วัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยมีมากกระจายอยู่ทั่วประเทศ อีกทั้งอาจถูกโยงเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นการเมือง การออกหน้ามากเกินไปอาจได้ไม่คุ้มเสีย
พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ได้แสดงมุมมองเกี่ยวกับคดีของพระธัมมชโย ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ว่า หากเรื่องราวทางคดีความเป็นคดีของพระทั่วไปไม่มีชื่อเสียงหรือยศตำแหน่ง การดำเนินคดีคงจบลงไปนานแล้ว แต่สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐกำลังต่อสู้อยู่ในเวลานี้
เป็นเรื่องของพระชั้นผู้ใหญ่และมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีทั้งนายทุน เจ้าสัว ที่เข้ามาจัดระบบบุญขายตรงทางธุรกิจ จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น
“กรณีของพระธัมมชโย ยืนยันว่า อย่างไรก็มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีแผนอะไรมากมาย เพียงแต่เป็นเรื่องของการรักษาหน้าตา รักษาผลประโยชน์ และขอให้จำไว้ว่า พระที่เกิดเรื่องเสียหายเสื่อมเสีย จะมีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ เหมือนตอนพระยันตระ ที่มีปัญหาเรื่องประพฤติตนไม่เหมาะสม ก็มีพรรคการเมืองเข้าไปปกป้อง เป้าหมายก็เพื่อใช้เป็นฐานเสียง เช่นเดียวกับพระธัมมชโยก็มีพรรคการเมืองเข้าไปปกป้องเช่นกัน แต่อาตมาไม่ขอพูดว่าพรรคการเมืองใด เกรงจะเกิดปัญหาขึ้นอีก” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าว
พระพยอมชี้ต้องเซาะฐานธัมมชโย
อย่างไรก็ตาม พระพยอมมองสถานการณ์วัดพระธรรมกายในขณะนี้ ว่า เจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องต้องเริ่มเซาะรากฐานใหญ่ให้รอบๆ ก่อน แล้วฐานรากนั้นจะค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติควรต้องดำเนินการให้ทันเกม เมื่อทางวัดพระธรรมกายกำลังใช้สื่อตอบโต้ชี้แจงต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่เองก็ควรจะทำความเข้าใจกับสังคมภายนอกด้วย รวมถึงชาวต่างประเทศ เพราะขณะนี้ต่างประเทศไม่เข้าใจและไม่ทราบถึงรายละเอียดข้อเท็จจริงและกำลังมองว่ารัฐบาลกลั่นแกล้งรังแกวัดพระธรรมกาย
“ทั้งที่จริงวัดเป็นของโจรและใช้เป็นที่ฟอกเงิน อย่างที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ออกมามองว่า ทำไมสังคมมองแต่เรื่องนี้ แต่ไม่มองว่าคนที่เดือดร้อนหมดเนื้อหมดตัว เพราะสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่นำเงินของประชาชนผู้เสียหายไปทำบุญ ทำไมถึงไม่คิดตรงนี้บ้าง”
นอกจากนี้ พระพยอมยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาในครั้งนี้ ว่า ถือเป็นวิกฤต แต่เดี๋ยวก็จบ เพราะเรื่องลักษณะอย่างนี้มีมานาน และเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายก็จบลงด้วยความเข้าใจ ในการรู้จักแยกแยะระหว่างเรื่องของบุคคลและคำสอนของศาสนา
ส่วนเรื่องที่จะเชิญสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มาเป็นผู้ประสานในครั้งนี้ พระพะยอมมองว่า ถือเป็นขั้นตอนที่ดีที่สุด เพราะการเจรจาจะทำให้เรื่องจบง่าย ไม่เกิดการบาดเจ็บล้มตาย เพราะที่ผ่านมาลูกศิษย์ที่หลงถึงขั้นยอมตายแทนครูบาอาจารย์ลักษณะนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย
“แต่การดำเนินการจับกุมพระธัมมชโยก็อาจจะต้องมีการเจรจาต่อรองหรือข้อแลกเปลี่ยน เช่น อีกฝ่ายหนึ่งอาจยอมรับโทษบ้าง แต่ก็จะมีการผ่อนผันให้ โดยอาจยอมให้ยึดทรัพย์ แต่ไม่ถูกเข้าคุก เหมือนอย่างกรณีทักษิณที่เอาเงิน 4 หมื่นล้าน มาทำประโยชน์และปล่อยตัวทักษิณไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
ส่งทหารตัดเสบียงบีบวัดพระธรรมกาย
สำหรับสถานการณ์ของวัดพระธรรมกายมีภาพเสริมกำแพง เสริมความแข็งแกร่งรอบๆ วัดนั้น พระพยอมให้ความเห็นว่า การจะเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ภายในวัดพระธรรมกายนั้น อาตมาขอแนะนำว่า “เมื่อกองทัพเดินด้วยท้อง ถ้านำกำลังเจ้าหน้าที่ทหารไปคุมโดยรอบ ไม่ให้มีการส่งเสบียงอาหารเข้าไป ยังไงผู้ที่อยู่ข้างในวัด เมื่อทนไม่ได้ก็จะยอมออกมาเอง เหมือนการแยกปลาออกจากน้ำ แต่เวลานี้ทางลูกศิษย์บางส่วนก็เริ่มออกมาแล้ว เพราะเมื่อสื่อออกมาตีแผ่ความจริงให้สังคมได้เห็นก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น จึงทำให้หูตาของคนได้รับข้อมูลมากขึ้น”
แน่นอนหลายฝ่ายมองว่า ประเทศไทยมีกฎหมายมากมาย แต่ทำไมจึงไม่สามารถจัดการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยได้ แม้ทราบพิกัดที่หลบซ่อนชัดเจน พระพยอมเปรียบเทียบกฎหมายในบ้านเราต่อกรณีนี้ ว่า “กฎหมายไทยมันเป็นกฎหมายแบบใยแมงมุม ถ้าสัตว์ใหญ่ชนปัง ใยแมงมุมก็ขาดทะลุ แต่ถ้าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยมาติดหรือมาชนใยแมงมุมก็ดักถูกจับกินเป็นเหยื่อได้สบาย เหมือนคนรวยๆ ลูกเศรษฐีขับรถชนตูม 5 ปี ยังจับไม่ได้เลย เพราะมันตัวใหญ่ มันเจาะรูกฎหมายทะลุ รูกฎหมายจึงเสมือนใยแมงมุม”
สำหรับพระที่เกี่ยวข้องกับเงินนั้น พระพยอมให้ความเห็นว่า เงินไม่ใช่ตัวชั่วหรือร้ายอะไรมากมาย แต่ถ้าจะเกี่ยวข้องกับเงินอย่างฉลาดและถูก ต้องเอาเงินไว้ใต้เท้า ไว้เดินไปสร้างบารมี ถ้าเอาเงินไปสร้างบารมี เงินเหล่านั้นก็จะเป็นฐานไว้สร้างบารมี แต่ถ้าเอาเงินไปสร้างคดีไปตั้งหุ้นตั้งบริษัทให้เครือญาติมาร่วมหุ้นเปิดบริษัทอันนี้จะเป็นคดี แล้วก็กำลังเกิดขึ้นกับพระธัมมชโยในขณะนี้
“หากมีใครมาให้เงินอาตมาหมื่นล้าน จะทำอะไรให้ดู จะมีน้ำใช้กันอีกเยอะ จะมีรถขนน้ำ มีบึงบ่อน้ำเต็มไปหมด และจะมีสิ่งที่บรรเทาภัยพิบัติหรือวิกฤตการณ์ ถ้าเอาเงินไปสร้างบารมี เงินไม่มีปัญหา ถ้าโง่เอาเงินไปสร้างคดี เงินก็คือตัวปัญหา พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า เงินคือ อสรพิษ สำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับเงินแล้วบริหารจัดการไม่เป็น”
พระพยอม ระบุอีกว่า วัดสวนแก้วอาจเป็นวัดเดียวก็ได้ที่เวลาพระไปบิณฑบาตได้สิ่งของและเงินทองกลับมาก็จะนำเข้ากองกลางทั้งหมด เงินก็ไม่เป็นเบี้ยหัวแตก พระรูปนั้นรูปนี้ก็ไม่ไปซื้อหวยหรือใช้หมดไปอย่างสิ้นเปล่า เพราะเราจัดการเงินบุญให้กระจายไปดับทุกข์บำรุงสุข
อวดอ้างอุตริ...ชั่วที่สุด
ที่ผ่านมาวัดพระธรรมกายมีการอวดอ้างว่าสามารถไปพบพระพุทธเจ้าได้ และอีกสารพัดเรื่อง ซึ่งพระพยอม บอกว่า หากนำเรื่องทางวินัยมาเปรียบเทียบ การที่อ้างว่าไปพบพระพุทธเจ้า หรือพบสตีฟ จ็อบส์ ได้ และยังอ้างว่าไปเจอหลวงปู่มั่นอยู่ในนรกนั้น เพราะพระธัมมชโยสำคัญตัวเองผิดคิดว่าเป็นพระอรหันต์ และยังอ้างว่าไปเจอพระพุทธทาสภิกขุไปอยู่ในที่ที่ไม่พึงปรารถนา เพราะสอนธรรมะผิดนั้น เรื่องเหล่านี้มันคือการอวดอุตริ...ชั่วที่สุด
“อาตมามองว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐไม่จำเป็นต้องนำเครื่องบินไปบินสำรวจหรอก เพราะการที่พระธัมมชโย บอกว่า ครูบาอาจารย์ตกนรกนั้นก็ถือว่าเป็นการหาเรื่องกัน ซึ่งเรื่องนี้กำลังบานปลาย แต่ถึงอย่างไรเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อาตมาจึงขอถามกลับพระธัมมชโยว่า การที่ให้ลูกศิษย์ไปนั่งเฝ้าเป็นกำแพงมนุษย์ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์”
เมื่อก่อนนี้อาตมาเคยนึกแปลกใจถามชาวพุทธว่า พระพุทธเจ้าออกบวชแสวงหาบุญหรือแสวงหาทางดับทุกข์ แต่เดี๋ยวนี้พระเอามาใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาอะไร นี่คือความวิปริตจนทำให้เกิดวิกฤต เพราะเป้าพลาดนิดเดียว ไม่เอาเรื่องดับทุกข์เป็นหลัก ดันผ่าเอาบุญเป็นหลัก จึงมีพระบางรูปหลุดปากมาว่า “ยิ่งทำยิ่งรวย” และมีคำที่เฮงซวยที่สุดว่า “จงรีบทำบุญให้หมดตัว ก่อนที่ตัวจะหมดบุญ” มีคนแก่คนหนึ่งคงเคลิ้มเลยทำบุญแบบทุ่มหมดตัว ทีนี้จะเอาเงินที่ไหนใช้กิน ต่อมาลูกหลานว่ากระแทกแดกดันให้กินบุญเข้าไป ทำไปตั้งเยอะ สุดท้ายผูกคอตาย นี่คือวิปริตที่สุด
พระพุทธเจ้าเคยเตือนไว้ว่า ถ้าคนที่เขามีศรัทธาอ่อนโยน พระอย่าไปขอมาก เขาจะให้หมดตัว กลับกันเดี๋ยวนี้ใครยิ่งอ่อนโยน ยิ่งศรัทธา ยิ่งขอใหญ่ อันนี้คือความเฮงซวยความวิปริต
พระพยอมได้เล่ายกตัวอย่างนิทานเซนให้ฟังว่า มีพระ 2 รูปเป็นเพื่อนกัน ซึ่งพระรูปหนึ่งพูดจาอ่อนหวานจนเป็นที่นับถือของลูกศิษย์ ส่วนอีกรูปพูดจาโผงผาง ญาติโยมไม่ค่อยชอบมากนัก และเมื่อถึงวันที่พระรูปที่พูดจาอ่อนหวานไพเราะมรณภาพไป ลูกศิษย์ต่างร้องไห้เสียใจกับการจากไปของอาจารย์ และเมื่อถึงวันทำพิธีพระรูปที่พูดโผงผางก็ได้ไปที่งานและใช้ไม้เท้าเคาะโลงศพและพูดว่า “เมื่อเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ก็ทำให้คนลุ่มหลง ศรัทธา และเมื่อตายไป ก็ยังทำให้คนร้องไห้ และพูดทิ้งท้ายว่า ท่านควรเกิดมาทำให้คนมีความรู้ ความสุข ไม่ใช่ทำให้คนเป็นทุกข์ ซึ่งการสอนว่า ยิ่งถวายยิ่งรวย หรือรีบทำบุญให้หมดตัว ก่อนที่ตัวจะหมดบุญนั้น ถามว่าเมื่อให้ไปจนหมดตัวแล้ว ผู้ที่ให้จะกินอะไร สุดท้ายหาทางออกไม่ได้ก็คิดฆ่าตัวตาย”
พระพยอม เล่าต่อว่า ทุกวันนี้คนบวชไม่สืบทอดศาสนา แต่ทุกวันนี้พระกลับรักษาผลประโยชน์ของศาสนาที่เป็นวัตถุเงินทอง ซึ่งไม่ได้เป็นการสืบทอดศาสนา เพราะการให้เกิดความสงบร่มเย็น ตรงนั้นพระไม่ปฏิบัติเลย แล้วเวลาเกิดเรื่องอย่างตอนนี้ (กรณีพระธัมมชโยถูกเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีมีลูกศิษย์และพระออกมาปกป้อง) เขากำลังปกป้องศาสนาหรือเขากำลังรักษาหน้าตา ลองคิดดูว่าระหว่างรักษาศาสนากับรักษาหน้า คิดว่าสิ่งไหนมาแรงกว่ากัน เหมือนที่กำลังออกมาหน้าสลอนกันในเวลานี้
“เสียหน้าที่นับถือผิด จึงต้องช่วย ถ้าครูบาอาจารย์เราเพลี่ยงพล้ำ หน้าเราก็แหกไปด้วย จึงต้องรักษาหน้าตัวเอง โดยอ้างว่าปกป้องศาสนา แต่แท้จริงปกป้องหน้าตาตัวเอง” พระพยอม กล่าวทิ้งท้าย
วิปริตศาสนาพุทธ ผลประโยชน์ทำบุญแบบบ้าคลั่ง
“พุทธศาสนา” เปรียบเสมือนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้สืบทอดและเผยแผ่เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาและปฏิบัติไว้เป็นหลักชัยของการดำรงชีวิตให้ตั้งมั่นอยู่บนฐาน คำว่า เป็นคนดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนมนุษย์ และคอยระงับกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง
อย่างไรก็ตาม ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามกับพระภิกษุสงฆ์ว่า ยังคงเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้หรือไม่
พระพยอม กลฺยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ให้คำจำกัดความว่า เป็นเรื่องวิปริตที่เกิดขึ้นในวงการศาสนาจนกลายเป็น “วิกฤต” และที่วิปริตยิ่งกว่า ในพระพุทธศาสนาขณะนี้คือเรื่องผลประโยชน์ อันเกิดมาจากความเชื่อ ความศรัทธา การทำบุญกันแบบบ้าคลั่ง เมาบุญ หลงบุญ และเป็นบุญที่เสียหายและเสียเปล่า คือ การทำบุญที่ไม่แก้วิกฤตการณ์ ซ้ำร้ายจะกลายเป็นเพิ่มวิกฤตการณ์
อย่างไรก็ตาม ศาสนาไม่ใช่ตัวปัญหาหรือศาสนา “แย่ลง” แต่เกิดจากระบบการบริหารจัดการกับบุญทางศาสนาที่แย่คือ คนทำบุญไม่ค่อยฉลาดแล้ว และฝ่ายที่รับบุญมาก็บริหารเงินบุญไม่เป็น
“แต่ถ้าเอามาให้แล้ว พระบริหารเงินบุญให้ดี นำไปแก้วิกฤตบ้านเมือง เอาไปปลูกต้นไม้ สร้างสระน้ำให้โลกร่มเย็น หรืออะไรที่สามารถแก้ความทุกข์ ที่ไม่ใช่เอาไปลงไว้ที่เจดีย์ เพราะเมื่อคนที่อยู่รอบเจดีย์ ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ก็จะมีมิจฉาชีพอยู่รอบเจดีย์ และอ้างว่าไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไร ไม่มีที่ทำมาหากิน และบ้านเราก็จะเป็นประเทศที่ไม่ดี”
“เรื่องทางคดีของวัดพระธรรมกาย ถ้าเป็นคดีของพระรูปเล็กก็จบไปนานแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องของพระใหญ่และมีเรื่องการเมือง เจ้าสัว นายทุน ที่เข้ามาจัดระบบบุญขายตรงทางธุรกิจบุญทำให้ปัญหาเกิดตลอดในช่วงที่ผ่านมา และบางครั้งพระบางรูปก็มักชอบอวดอุตริ การแก้ปัญหาเหล่านี้ควรที่จะต้องเซาะไปให้ถึงรากใหญ่ของปัญหา” พระพยอม แสดงความคิดเห็น
พระพยอม บอกอีกว่า การทำบุญกับวัตถุ สถานที่ นานไปก็ต้องมีการเสื่อมโทรม สูญสลาย ผุพังลงไปตามกาลเวลา แต่ถ้าหากทำบุญกับความรู้ หรือสร้างสาธารณประโยชน์ เป็นต้นว่า ขุดสระน้ำ ก็จะอยู่ให้ชาวบ้านได้ใช้ไปตลอดชาติ เพราะสระน้ำเป็นสิ่งที่จะอยู่คู่กับมนุษย์ไปได้อีกร้อยปี พันปี หรือหมื่นปี เพราะมนุษย์ทุกคนก็ต้องใช้น้ำ มนุษย์ไม่ได้ใช้ตึกใหญ่ แต่ปัจจุบันการทำบุญกับเรื่องน้ำกลับไม่มี
“สระน้ำในสมัยพุทธกาล จะมีสระน้ำ ตุ่มน้ำ วางไว้หน้าบ้าน และมีคำพูดแปลกๆ เช่น มีตุ่มน้ำไว้ให้คนเดินสัญจรที่หิวโหยผ่านมา 1 ตุ่ม ดีกว่าสร้างเจดีย์สูง 7 ชั้น แต่ทุกวันนี้ มันตรงกันข้ามไหม มีเจดีย์ใหญ่ดีกว่ามีน้ำหรือไง บางวัดมีเจดีย์ใหญ่แต่กลับไปขอน้ำชาวบ้านใช้ มันเป็นเรื่องที่การทำบุญแบบวิปริต” พระพยอม กล่าว
การทำบุญเรื่องน้ำมักไม่มีใครให้ความสนใจ หรือตั้งกองทุนเพื่อเป็นสัมมาชีพจริงจัง อย่างไรก็ตามปัจจุบันพระพยอมได้ตั้งกองทุน “ธนาคารน้ำ” ขึ้น เพื่อจัดทำแท็งก์น้ำ ขุดสระน้ำ แก้มลิง หลุมขนมครก รวมถึงรวบรวมเงินบริจาคเพื่อไปจัดสร้างแท็งก์ไซโลขนาด 1 แสนลิตร เพื่อช่วยเหลือประชาชน ควบคู่ไปกับโครงการทางการเกษตรเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยอ้างอิงประโยคคำพูดของหลวงจีนรูปหนึ่งที่เคยพูดไว้ว่า “จุดตะเกียงไว้ในที่มืดสักดวงหนึ่ง ดีกว่ามีเจดีย์ใหญ่”
พระพยอม เล่าว่า ถือเป็นความโชคดีของประเทศไทยที่ยังมีสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งได้ประชุมเจ้าอาวาสทุกวัดในเขตกรุงเทพมหานคร ว่า ต่อไปนี้ถ้าจะสร้างถาวรวัตถุอะไรใหญ่ๆ ที่ไร้ประโยชน์ จะต้อง “ขออนุญาต” และอย่าปล่อยให้ใหญ่จนเกิดเหตุ
เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว บอกว่า ที่ผ่านมาเห็นมาหลายวัดที่มักปล่อยให้มีถาวรวัตถุใหญ่โตจนเกินเหตุ ต่างจากพระพุทธเจ้าที่ออกจากวังใหญ่มาอยู่โคนต้นไม้ กุฏิเล็ก แต่เดี๋ยวนี้สังคมไทยกลับเห็นลูกชาวบ้านออกจากบ้านเล็กมาสร้างวังใหญ่ วัดใหญ่ แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ยังเคยเอ่ยปากว่า “มันอลังการขนาดนี้เลยหรือ”
“เงินของแต่ละวัดมีมหาศาล ตั้งแต่หลักร้อยล้าน พันล้าน รวมกันเป็นเงินหลายแสนล้านสุดท้ายก็ไปจมอยู่ที่วัด ทำไมจึงไม่กระจายแบ่งไปวัดอื่นบ้าง เพราะอย่างไรความไม่เที่ยงของสังขารก็เกิดขึ้น แม้แต่พระที่มีชื่อเสียงหลายรูปก็ยังต้องมรณภาพ ลองไปดูวัดหลวงปู่แหวน (หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่) ที่เมื่อก่อนดังๆ พอสิ้นสังขารท่าน คิดดูว่าคนไปมากเหมือนเดิมหรือไม่ แทบจะร้างหมด แต่ถ้านำเงินไปทำแหล่งน้ำ ทำแก้มลิงแทน ชาวบ้านก็จะสามารถนำไปใช้ได้ตลอดปีตลอดชาติ”
พระพยอม ยังเล่าอีกว่า เมื่อครั้งที่เคยไปเทศนางานสวดพระอภิธรรมหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี มีพระประกาศว่า “ขณะนี้ออกแบบเจดีย์ใส่สังขารหลวงพ่อจรัญเสร็จแล้ว ใครจะร่วมทำบุญบ้าง” มีโยมท่านหนึ่งยกมือและพูดว่าฉันจะทำบุญ 20 ล้าน 5 ล้าน อาตมาจึงนึกว่า เมื่อครั้งจะทำโครงการน้ำยังไม่มีใครมาบริจาคถึง 1 แสนเลยสักราย
“ทั้งที่ความเป็นจริง น้ำสามารถช่วยเหลือคนทั่วไปให้ประกอบสัมมาอาชีพได้ นั่นจึงทำให้คนเห็นคุณค่าบุญ ในทางกลับกันการสร้างวัตถุใหญ่โตกลับไม่เกิดประโยชน์เท่าใด หรืออาจจะเกิดก็ช่วงที่พระเกจิช่วงนั้นดัง 10-20 ปี พอหลังจากสิ้นสังขารสิ่งเหล่านั้นก็จะร้าง เพียงแต่จะร้างช้าหรือเร็วเท่านั้น หรือไม่ร้างเลยแต่จะเสื่อมลงเรื่อยๆ อันนี้คือวิกฤตที่เกิดขึ้นกับวงการศาสนา”พระพยอม แสดงความคิดเห็น