"พงศ์เทพ" ยาสามัญรัฐบาล
ระยะนี้ต้องบอกว่ารัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะโดนกระหน่ำพอสมควร โดยเฉพาะกับปัญหาทางเศรษฐกิจ
ระยะนี้ต้องบอกว่ารัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะโดนกระหน่ำพอสมควร โดยเฉพาะกับปัญหาทางเศรษฐกิจ
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
เห็นได้ชัดๆ จากอิทธิพลของค่าจ้าง 300 บาท ที่ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจการขนาดกลางและย่อมต้องปิดตัวลงเหมือนกับใบไม้ร่วง
คำถามเริ่มมีมายัง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี มากขึ้นว่าจะหาทางออกอย่างไร นอกเหนือจากการโยนให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ต้องรับหน้าเสื่อแทนเพื่อเอาตัวรอดเป็นวันๆ ไป
ขณะที่การเมืองภายในที่ดูเหมือนสงบก็กลับแฝงไว้ด้วยคลื่นใต้น้ำ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังเป็นช่วง “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” ได้แต่ซื้อเวลาออกไปเรื่อย ยิ่งปล่อยนานไปแรงกดดันจากคนเสื้อแดงก็จะถาโถมมาที่รัฐบาลมากขึ้น
ครั้นจะเดินหน้าสนองอารมณ์ของมวลชน ก็อาจเป็นเหตุให้มวลชนฝ่ายตรงข้ามออกมาเคลื่อนไหวเพิ่มความร้อนให้กับการเมืองเข้าไปอีก
หรือเรื่องปราสาทพระวิหาร แม้กว่าจะรู้ว่าศาลโลกจะออกหัวหรือออกก้อย ก็น่าจะประมาณปลายปี 2556 หรือต้นปี 2557 แต่เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มทำท่าจะฮึ่มๆ กันอีกแล้ว เพราะกำลังมองว่าท่าทีอันอ่อนโยนของรัฐบาลเป็นจุดเสี่ยงต่อการเสียดินแดน สร้างความปวดหัวให้กับนายกฯ ปูกรรเชียงเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้เลยเป็นปัญหาที่ยิ่งลักษณ์ไม่อาจแบกรับไว้ได้คนเดียว จึงมอบอำนาจบางส่วนให้รัฐมนตรีดูแลเป็นเฉพาะ ซึ่งรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจคนนั้น คือ “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ
“พงศ์เทพ” เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่เข้ามาในคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากพ้นโทษตัดสิทธิการเมือง 5 ปี จุดประสงค์หลักที่ยิ่งลักษณ์ต้องให้เป็นรัฐมนตรีคู่บารมี ก็เพื่อลบจุดอ่อนของรัฐบาลบางประการในเรื่องของกฎหมาย
ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านกฎหมายมีเพียง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เท่านั้นที่พอจะเข้าไปดูงานด้านกฎหมายบ้าง ผ่านการได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
แต่เนื่องจากต้องคุมงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปจนถึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภารกิจฝ่ายความมั่นคง ย่อมมีผลเกิดปัญหาการทำงานที่อาจไม่ลงลึกในรายละเอียดไม่ได้มากนัก
เป็นเหตุผลสำคัญที่ยิ่งลักษณ์ต้องพร่องงานกฎหมายมาให้พงศ์เทพ
พลิกดูดีกรีของเจ้าตัวก็ถือว่าครบเครื่องไม่ใช่น้อย โดยเป็นถึงอดีตผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ก่อนลาออกทำงานด้านการเมืองทั้งพรรคพลังธรรมและพรรคไทยรักไทย
ในสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลและมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รมว.ยุติธรรม และ รมว.พลังงาน ส่วนงานในพรรคก็ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคด้วย
จากนั้นในระหว่างที่อดีตนายกฯ ทักษิณ กลับประเทศไทยเพื่อต่อสู้คดีที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แจ้งข้อกล่าวหาฉกรรจ์หลายคดี ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นโฆษกส่วนตัว มีหน้าที่ชี้แจงทุกประเด็นในนาม พ.ต.ท.ทักษิณ ระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย
อย่าได้แปลกใจว่าทำไมยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นอีกคนในครอบครัวชินวัตรต้องเลือกใช้บริการ “พงศ์เทพ” อีกครั้ง โดยตอนนี้รับภารกิจหลักหนักๆ ไปแล้ว 3 ด้าน
ด้านที่ 1 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นประธานคณะทำงานศึกษาข้อกฎหมายและการออกเสียงประชามติ ซึ่ง ครม.แต่งตั้งเพื่อรับผิดชอบการเดินหน้าทำสานเสวนาโดยตรง
การสานเสวนาถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรัฐบาลเป็นอย่างมาก เพราะจะเป็นเครื่องมือประทับความชอบธรรมของรัฐบาลทั้งในทางตรงและทางอ้อม เช่นเดียวกับการรณรงค์ให้ประชาชนกว่า 24 ล้านคน ให้ออกมาร่วมลงเสียงประชามติปูทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ไม่เพียงเท่านี้ การให้พงศ์เทพเข้ามาเป็นแม่งาน ก็เพื่อเป็นหัวทีมกฎหมายให้กับรัฐบาลด้วย เพื่อรับมือถ้าในอนาคตเกิดการฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
ด้านที่ 2 คดีปราสาทพระวิหาร ภารกิจนี้ถูกส่งตรงมาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ด้วยเหตุผลการเป็นรองนายกฯ คุมงานด้านต่างประเทศและได้รับความไว้วางใจส่วนตัว กลายเป็นงานหนักที่สุดงานหนึ่งที่ต้องทำ ภายใต้เงื่อนไข “แพ้ไม่ได้”
เพราะหากพลาดท่าหมายความว่านอกจากจะสุ่มเสี่ยงต่อการเพิ่มอุณหภูมิตามแนวชายแดนแล้ว อุณหภูมิการเมืองในประเทศก็จะพุ่งปรี๊ดตามไปด้วย
แต่ถ้าชนะก็ย่อมเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลทางใดทางหนึ่ง พร้อมกับสยบความเคลื่อนไหวของมวลชนต้านรัฐบาลไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวได้อย่างชะงักเช่นกัน
ด้านที่ 3 การรับภาระถูกฟ้องคดีปกครองแทนนายกฯ ครม.ได้มีมติให้พงศ์เทพมีอำนาจแทนนายกฯ ในการลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกฯ จากการใช้อำนาจสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
พูดภาษาชาวบ้านในกรณีนี้ พงศ์เทพทำหน้าที่ประหนึ่งเป็นทนายความให้กับนายกฯ ปู หากต้องเจอกับการถูกฟ้องร้องคดีทางปกครอง โดยนายกฯ ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้คดีด้วยตัวเอง แต่จะมีพงศ์เทพมาเป็นธุระให้ตั้งแต่ต้นจนเสร็จสิ้นกระบวนความ
จากภาพรวมทั้งหมดคงจะเห็นได้ชัดว่า พงศ์เทพนอกจากจะสวมหมวกครูในฐานะเจ้ากระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังเป็นหมอที่จ่ายยาแก้ปวดหัวประจำรัฐบาลให้กับยิ่งลักษณ์ เพื่อให้สุขภาพของเก้าอี้นายกฯ มีความแข็งแรงมากที่สุดท่ามกลางมรสุมรุมเร้า แต่จะแข็งแรงอย่างที่หวังหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่ายาที่ให้นั้นถูกโรคหรือไม่ด้วยเช่นกัน