posttoday

คุกสหรัฐปลื้มบะหมี่ซองไทย

28 กันยายน 2559

"พาณิชย์" เจาะตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในคุกสหรัฐสำเร็จ ยกเป็นอาหารมูลค่าสูง ระบุช่วง 7 เดือนส่งออกไปสหรัฐเป็นอันดับ 1

"พาณิชย์" เจาะตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในคุกสหรัฐสำเร็จ ยกเป็นอาหารมูลค่าสูง ระบุช่วง 7 เดือนส่งออกไปสหรัฐเป็นอันดับ 1

นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรม ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากทูตพาณิชย์และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) ในสหรัฐ ถึงการจัดทำแผนตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยเข้าสู่เรือนจำของสหรัฐ โดยสินค้าดังกล่าวได้รับความนิยม เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเปรียบเสมือนสินค้ามูลค่าสูงทดแทนการใช้จ่ายในรูปแบบเงินตรา รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยมีรสชาติถูกปากและมีความหลากหลาย จึงกลายเป็นอาหารเลิศรสสำหรับนักโทษในเรือนจำ

ทั้งนี้ ภายในเรือนจำสหรัฐมีระบบเศรษฐกิจของตนเอง นักโทษไม่ได้ใช้จ่ายด้วยเงินสด แต่ใช้ระบบการแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter System) สินค้าแต่ละประเภทจะมีมูลค่าที่แตกต่างกัน และจะสามารถแลกเปลี่ยนกับสินค้าประเภทอื่นๆ ได้ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเศรษฐกิจเรือนจำสหรัฐ คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยถูกยกให้เป็นมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในระบบเรือนจำ

อย่างไรก็ตาม การส่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าไปเจาะตลาดในเรือนจำสหรัฐเป็นไปตามยุทธศาสตร์ผลักดันการส่งออกที่จะเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม (นีช มาร์เก็ต) เนื่องจากมีการศึกษาระบบเศรษฐกิจในเรือนจำสหรัฐ พบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นเงินตราสำคัญในเรือนจำ และมีการประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย เช่น การนำมาบริโภค การใช้เป็นค่าตอบแทนในการบริการต่างๆ หรือการใช้แลกเปลี่ยนหรือซื้อสินค้าอื่นๆ เช่น แปรงสีฟัน เสื้อผ้า ผลไม้ ทั้งนี้แบรนด์ที่ได้รับความนิยม คือ แบรนด์ที่เรือนจำนำเข้ามาจำหน่ายเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดการครองตลาดของแบรนด์ดังกล่าวไปโดยปริยาย

สำหรับสถิติการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสำเร็จรูปส่งออกไทยไปทั่วโลก พบว่า เมื่อปี 2558 มีการส่งออกรวม 1,069 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 37,415 ล้านบาท โดยส่งออกไปสหรัฐสูงเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 170 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5,950 ล้านบาท รองลงมาคือส่งออกไปตลาด เมียนมาและจีน ในขณะที่การส่งออกในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) 2559 ไทยส่งออกเพิ่มขึ้น 4.6% คิดเป็นมูลค่า 640 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22,400 ล้านบาท โดยส่งออกไปสหรัฐมูลค่า 95 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,325  ล้านบาท

ภาพประกอบข่าว