ทำได้กับไม่ได้ทำ ตอน มรดกบาป
นักการเมืองผู้ผูกขาดความเป็นศาสดาประชาธิปไตยเคยทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้อย่างนี้บ้าง
โดย....อสนีบาต
ใกล้เข้าสู่เดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงสิ้นปีงบประมาณ จะมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตามฤดูกาลเกษียณอายุ อีกทั้งใกล้สู่การชี้ขาดร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เพื่อนำไปสู่การลงประชามติ สู่การเลือกตั้งตามโรดแมปได้หรือไม่
ก็ยิ่งได้เห็นปฏิบัติการของกลุ่มกระสันอำนาจที่อ้างตนพิทักษ์รักษาประชาธิปไตย ออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
ปรากฎการณ์เด่นชัด คือการมอบหมายให้นักการเมือง กระบอกเสียงพรรค แกนนำมวลชน บริหารวาทะ เปิดแถลงข่าวตามที่แบ่งหน้าที่กันไป ทั้งกระจายข่าวโจมตี ดิสเครดิต ข่มขู่ยุยง
เช่น แสดงความสู่รู้ "เศรษฐกิจไทยกำลังดิ่งเหวเหมือนดั่งที่เคยเตือนไว้ "ก่อนตบท้าย "ทางออกเดียวต้องเร่งคืนประชาธิปไตย" ทำนองนี้
วิธีการดังกล่าว อดไม่ได้ต้องทำให้นึกถึงสมัยรัฐบาลประชาธิปไตยบริหารประเทศ เพราะเหมือนว่า ผู้แถลงซึ่งเคยร่วมรัฐบาลประชาธิปไตยกำลังว่ากล่าวตนเองอย่างไม่รู้ตัว
มรดกบาปสมัยรัฐบาลทักษิณถึงยิ่งลักษณ์ ล้วนเป็นสิ่งที่รัฐบาลคสช.ต้องตามล้างตามเช็ดกันอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การทำงานของรัฐบาลคสช.ไม่ลื่นไหล โดยที่ฝ่ายการเมืองไม่พูดถึงสิ่งเลวร้ายที่ตนเองเคยกระทำ
ผลงานชิ้นโบว์ดำอันติดตาตรึงใจ ต่อกรณีโครงการรับจำนำข้าวเจ๊งหลายแสนล้าน เกิดขบวนการทุจริต ต้องมารวบรวมสำนวนส่งฟ้องดำเนินคดีในยุครัฐบาลนี้
ไหนจะโครงการคืนภาษีเมื่อซื้อรถยนต์คันแรกที่ทำให้กลไกตลาดรถยนต์ผิดเพี้ยนไป ผ่านมาถึงวันนี้มีการยืดแล้วยืดอีก แต่ผู้ใช้สิทธิในโครงการไม่มารับรถยนต์กว่า 1.1 แสนราย หรือคิดเป็น 9% ของจำนวนผู้ขอใช้สิทธิ 1.259 ล้านราย เป็นเงินที่ต้องคืน 9.28 หมื่นล้านบาท แล้วจะรอต่อไปทำไม รถยนต์ก็ตกรุ่นจนรัฐบาลชุดนี้ ต้องเสนอว่าควรปิดโครงการซะเลย
มิพักกล่าวถึงโครงการแจกแท็บเล็ต ซึ่งถือเป็นโครงการแรกๆที่รัฐบาลคสช.ให้ยุติโครงการ เพราะนอกจากสร้างภาระงบประมาณ เป็นปัญหาให้กับโรงเรียนที่ปรับกระบวนการเรียนการสอน จัดหาติดตั้งระบบไวไฟ ห้องเก็บเครื่อง ได้รับเครื่องไร้คุณภาพ ด้านผู้ปกครองต่างมีเครื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่เกือบทุกบ้าน ยังต้องมารอรับขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสโลแกนทักษิณคิดเพื่อไทยทำในครั้งนั้น
แปลกแต่จริง บรรดาผู้อ้างตนเป็นศาสดาประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกมาปล่อยข่าวกดดันรัฐบาลคสช.ควรเปิดกว้างให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาเป็นที่ปรึกษา แต่ไม่ยักกล่าวถึงผลงานโบว์ดำยุครัฐบาลทักษิณสร้างไว้บนแผ่นดิน นับประสาอะไรจะมาเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลคสช.กระทำการประชานิยมเหมือนอดีตกาลหรือไงเล่า
ควรไตร่ตรองมองสถานการณ์ยามนี้ ความเป็นรัฐบาลคสช.มีต้นทุนต่ำทางการเมือง ไม่ปรารถนาคะแนนนิยมจากประชาชน ได้ใช้อำนาจตามที่นักการเมืองประชาธิปไตยบอกว่าเผด็จการนั่นแหละ แต่สามารถขับเคลื่อนโครงการรถไฟฟ้าหลายสี มีมรรคผลคืบหน้าหลายเส้นทาง ไปจนถึงโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงกระทั่งทีมงานต่างประเทศ นัดหมายจะมาสำรวจเส้นทางในประเทศไม่นานนี้ ส่วนเอกชนเริ่มเห็นตัวตนพร้อมเข้ามาร่วมงาน
ขณะที่ บรรดากฎหมายที่รัฐบาลประชาธิปไตยออกยากออกเย็น ได้แต่พ่นวาทะว่า "จะมี" "จะผลักดัน" อาทิ กม.ชุมนุมในที่สาธารณะ แต่ไม่เคยทำได้ก็บังเกิดในรัฐบาลคสช.นั่นเอง
มองต่อถึงมาตรการหนึ่งของการสกัดการจ่ายเงินใต้โต๊ะ สกัดการคอร์รัปชั่นในวงราชการ ซึ่งน่าจะเป็นของแสลงของนักการเมืองบุฟเฟ่ต์คาร์บิเนต ปรากฎว่า รัฐบาลคสช.ประกาศใช้กม.อำนวยความสะดวกทางราชการเป็นที่เรียบร้อย หน่วยงานราชการต้องมีคู่มืออธิบายให้ประชาชน เอกชน ทราบขั้นตอนติดต่อทางราชการ ระบุถึงระยะเวลาให้บริการอย่างชัดเจน รวมไปถึง กรณีปัญหาค้ามนุษย์ซึ่งหมักหมมมานาน รัฐบาลคสช.ก็ต้องมาตามล้างตามเช็ดอีกนั่นแล
นักการเมืองผู้ผูกขาดความเป็นศาสดาประชาธิปไตยเคยทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้อย่างนี้บ้าง
หรือทำได้แต่ฝึกสร้างสมความทรามในจิตใจคนไทยให้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายช่วงชิงอำนาจ ครั้นได้อำนาจมาแล้วก็ไม่ได้สร้างคุณูการสร้างชาติให้เจริญแต่อย่างใด