"ความรักในหลวงของประชาชนที่ฉันจับใจ" สมเด็จพระราชินีพระราชทานสัมภาษณ์แก่กลุ่มนักข่าวเมื่อปี2523
พระราชกระแส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระราชทานสัมภาษณ์ แก่กลุ่มนักข่าวหญิง พ.ศ.2523 ทรงเล่าถึงการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่9
พระราชกระแส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระราชทานสัมภาษณ์ แก่กลุ่มนักข่าวหญิง พ.ศ.2523 ทรงเล่าถึงการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่9
70ปีแห่งการครองราชย์ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงแสดงให้ประจักษ์แก่อาณาประชาราษฎร์ถึงพระราชประสงค์ที่ทรงต้องการบรรเทาทุกข์พสกนิกรทั่วเขตแคว้น ทรงบากบั่นเสด็จพระราชดำเนินไปในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชนบทห่างไกล หรือ แม้แต่พื้นที่อันตรายในช่วงแห่งการสู้รบของคนไทยที่มีอุดมการณ์ต่างกัน
พระราชหฤทัยที่มุ่งมั่นบรรเทาทุกข์พสกนิกรนั้น ถูกถ่ายทอดไว้ในเนื้อหาช่วงหนึ่งของ พระราชกระแส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่พระราชทานสัมภาษณ์ แก่กลุ่มนักข่าวหญิง เมื่อปี 2523
ครั้งนั้น ทรงเล่าถึงการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การเสด็จฯเยี่ยมเยียนและพบกับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้ง เรื่องราวการทรงงานกับขอบเขตของสถาบันกับการเมือง ฯลฯ
โพสต์ทูเดย์จึงขอนำ เนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือรอยยิ้มของในหลวง ในบทชื่อ "พระราชินี พระราชทานสัมภาษณ์ ...แก่กลุ่มนักข่าวหญิง" โดย อาริยา สินธุจริวัตร บุนนาค จากหนังสือพระราชกระแส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระราชทานสัมภาษณ์ แก่กลุ่มนักข่าวหญิง พ.ศ.2523มาเผยแพร่ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
(ทูลถาม) สำหรับภาคใต้ ทรงมีทัศนะอย่างไรต่อสถานการณ์และความเป็นอยู่ของราษฎรที่นั่น
(ทรงตอบ) ชาวบ้านภาคใต้นี่ฉลาด รู้ด้วยว่าจะถวายฎีกานี่ต้องทำอย่างไร เอาซ่อนไว้ใต้ดอกไม้แล้วเอาดอกไม้นั้นมาให้ บอกว่านั่น ข้างล่างน่ะ ฎีกาอยู่ข้างล่าง รู้จักด้วยนะ ซ่อนไว้ ไม่เช่นนั้นฎีกานี่ตำรวจเขาจะตรวจค้นก่อน อย่างที่ทุ่งใหญ่ นครศรีธรรมราช ถ้าตามไปดูจะเห็นเขามีเวรยามกันแล้วก็พยักหน้า หัวหน้าเขาล่ะ อุตส่าห์ซ่อนแทรกเข้าไปไว้ในดอกไม้ พับเสียจนนิดเดียว
(ทูลถาม) โดยมาก ราษฎรร้องเรียนเรื่องอะไรบ้างเพคะ
(ทรงตอบ) ทุกเรื่องเลย เกี่ยวกับกฎหมายก็มี มีอันหนึ่ง ไม่ทราบว่าเก็บไว้หรือเปล่า ท่านผู้หญิงสุประภาดาฯ ที่ชาวบ้านทุ่งใหญ่ฎีกาบอกว่า ลูกน้องเสือฉลอง อยู่ใช่ไหม ไม่เช่นนั้น ฉันพูดไปเหมือนกับแต่งเอา เพราะว่าเมื่อฉันได้รับฎีกาแล้ว ก็จะถ่ายสำเนาส่งไปให้ราชเลขาธิการพระเจ้าอยู่หัว แล้วส่งไปที่ราชการ เขาบอกว่าลูกน้องเสือฉลองนี่ฆ่าคนของเขา ซึ่งเป็นชาวบ้าน ปิดถนน ปิดโรงเรียน ปิดตลาด ปิดสวนยาง เขาร้องไห้บอกว่า เขาไม่รู้จะเอาอะไรกินขอให้ท่านช่วย ขอให้ทหารของพระเจ้าแผ่นดินช่วยแล้วก็เซ็นชื่อกันยาว ฉันเอาไปให้แม่ทัพๆ เห็นแล้วอึ้ง
ปีที่เราไปทุ่งใหญ่ ไปเห็นสภาพคนแล้ว สงสารที่สุดเลย เพราะว่าที่นี่เป็นที่แห่งเดียว ที่คนจนเท่ากับคนที่จนที่สุด บวกจนที่สุด คือ ชาวเขากับคนไทยอิสลามจนอย่างชนิดที่เรา ไม่เคยเห็นที่ไหน อีสานก็ไม่เห็นอย่างนั้น เกือบจะไม่เป็นผู้เป็นคนเลย เสื้อผ้าขาดกะรุ่ง กะริ่ง แล้วร่างกายขาดเลือดเสียจนซีดไปหมดเลย ไม่มีเลือดเลย ฉันเปิดตาดูตาข้างในขาวเหมือนกับผ้าอย่างนี้ (ทรงจับผ้าปูโต๊ะที่ประทับ) ไม่มีเลือดในตัว ฉันก็ให้คุณเปรมฯดู
คุณเปรมฯ ก็บอก ปิ่นฯ (แม่ทัพภาค4ตอนนั้น) ทำไมไม่ช่วยราษฎรล่ะ...
คุณปิ่นฯบอก แหม ก็ไปก้าวก่าย...(ทรงหันมารับสั่งถามนักข่าวหญิง) อันนี้ก็การเมืองอีกใช่ไหม ฉันไม่ทราบจะทำอย่างไร อันนี้ถามฝรั่งให้เขาบอกเดฟฟินิชั่น (คำนิยาม) มาซิว่าการเมืองนี่มันเป็นอย่างไร ฉันไม่ทราบจะทำอย่างไรเพราะราษฎรเขามาให้ช่วย
หนหนึ่ง ข้ำขำ เสี่ยงตุ๊บๆ ตั๊บๆ หันไปมองว่าอะไรกัน ที่แท้เห็นสิรินธรกับจุฬาภรณ์ไปแย่งฎีกาจากตำรวจ โดยมากเป็นตำรวจราชสำนัก เขาไม่อยากให้ยุ่งการเมือง คือประชาชนเห็นเราใกล้เข้ามาก็คง จะชักออกมาจากชายพกหรือตะกร้า ตำรวจก็แย่งมาเสีย สององค์นี่ก็วิ่งไปแย่งจากมือตำรวจ เสร็จแล้วแม่เล็กบอก เล็กได้มาแล้ว ก็บอกเขา โธ่คุณ ถ้าเผื่อปิดนี่บ้านเมืองเราจะไปไม่ไหวนะ ราษฎรไม่รู้จะออกทางไหน เราก็มีหน้าที่เอามาแล้วเอาไปให้แก่รัฐบาลเท่านั้น อย่าไปปิดๆ นี่ประชาชนไม่รู้จะไประบายทางไหน แย่เลย บ้านเมืองไม่ปลอดภัย
(ทูลถาม) ความทุกข์ของเขาที่แท้จริงมีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าค่ะ
(ทรงตอบ) เขาบอกว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ถามว่าไม่เป็นธรรมทางไหน โดยมากจะเป็นเรื่องที่ดิน คือ หมายความว่าเขาจะบอกว่าที่ดินที่เขามีอยู่ก่อน แต่เขาไม่มี หรือ เขาไม่รู้ว่าต้องมีใบโน่นใบนี่ อยู่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แล้วอยู่ๆมา ก็โดนสั่งให้ออกจากที่ดินที่เคยอยู่มานาน เพราะไม่มีเอกสารแสดง เรื่องนี้น่าสงสารมากเลย เพราะว่ากฎหมายนั่นเองที่ทำลายคน คือเขาไม่รู้จักคำว่ากฎหมาย เขาบอกว่านายอำเภอมาถามว่ามีใบจับจองหรือเปล่า แกไม่มี แต่คนอื่นมี เขามีใบที่มาจับจองในที่ที่แกอยู่ เขาก็มาไล่ที่แก เพราะเขามีใบอะไร นส.อะไรที่ถูกต้อง ฉันไม่เคยชำนาญ เรื่องนี้เรียกไม่ถูก ถ้ามาว่ากันตามกฎหมายนี่ ชาวบ้านก็ต้องออก ถึงจะอยู่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายายก็ต้องออก เพราะในที่นี้กฎหมายไม่ได้ช่วยชาวบ้าน คราวนี้นักกฎหมายก็บอกว่าเขาออกประกาศตั้งนานจนหมดเวลาแล้ว แต่ชาวบ้านอ่านหนังสือไม่ออกหรืออยู่ในที่ที่เดินมาไม่ถึงที่ประกาศ แกก็ไม่รู้ ไม่ทราบจะทำอย่างไรวนเวียนอยู่อย่างนี้
ที่พัทลุง ตรงแดนที่ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนี่ เสด็จฯไปลงตรงจุดก่อการร้ายเลย มีวัดซึ่งตอนนั้นท่านอาจารย์นำของอำเภอควนขนุนยังอยู่ ท่านบอกว่ามหาบพิตรไม่ต้องกลัวหรอก มาเถอะ เราก็ลงไปตรงนั้นเลย ทุกคนดีใจหมดเลย แล้วที่นี่ชาวบ้านมากราบบังคมทูลเรื่องต่างๆเขาบอกว่าราชินีแปลงตัวมาสิ แล้วจะรู้ว่าราษฎรทุกข์ยากอย่างไร แต่อย่าเอาพวกนั้นมานะ พลางบุ้ยไปทางทหารตำรวจ บอกราชินีแปลงตัวมารับรองปลอดภัย แต่มาเฉพาะลำพังผู้หญิงๆนะ ชาวบ้านรับรองความปลอดภัยทุกประการ บอกอยู่กินกับเขาได้ แต่ฉันขี้ขลาด ไม่กล้าไป กลัวถูกจับให้เป็นตัวประกัน พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งบอก "ดีจะได้เป็นราชินีบนเขาด้วย"
ทางนราธิวาส ชาวไทยอิสลามน่าสงสาร บางครั้ง ฉันไปโดยเขาไม่รู้ตัว เขาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง เห็นได้ว่าเขารักพระเจ้าอยู่หัวจริง เพราะธรรมดาแล้วเขาจะไม่เข้าวัดไทยเลย แต่วันนั้นที่เราไปฝนตก พายุมา ฉันไม่รู้ว่าเขาไม่เข้าวัดไทยแม้แต่จะหลบฝน เห็นเป็นทีบี (วัณโรค) เป็นอิสลาม ฉันประคองเข้ามา เขาก็เข้ามาดี ทีนี้คนไทยพุทธเขามาบอกว่าอย่างนี้ดีมากแล้ว ยังอุตส่าห์เข้าวัด ไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมเข้าวัดเลย ไม่เข้ามาแม้แต่จะเหยียบ
ฉันถามว่าทำไม เขาตอบว่าไม่รู้ เขาว่าบาปเวลาที่เข้าวัดไทย หันไปถามล่ามว่า เข้าวัดไทยนี่จะบาปไหมจ๊ะ
เขาบอกว่า พระบอกว่า รายอ (พระเจ้าแผ่นดิน) อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่นได้ ไม่เป็นไร ไม่บาป เขารักพระเจ้าอยู่หัวจริงๆ คนแก่ตาบอดเข้ามาจูบ อันนี้สะดุดใจฉัน เพราะว่าเข้ามาจูบหน้าแข้งพระเจ้าอยู่หัว แล้วบอกว่าดีเหลือเกิน เขาเป็นอิสลาม เราฟังไม่รู้ ล่ามแปลให้ฟัง ดีเหลือเกิน ทำไมดีอย่างนี้ ดีกระทั่งแม้กับคนอิสลาม
พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า "ทำไมเขาต้องแบ่งด้วยว่า เรานี่ดีแม้กระทั่งคนอิสลาม ทุกคนเป็นคนไทยเหมือนกันหมด"
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยพุทธกับไทยอิสลามมีความสัมพันธ์ที่เห็นได้โดยไม่ต้องพูด เรามองการกระทำ คนไทยอิสลามแบกหามคนไทยพุทธมาหาหมอให้รักษา เห็นผู้ชายหนุ่มดำๆ อุ้มผู้ชายผิวขาว แต่ว่ากระดูกหลังนี่ค่อมไปหมดแล้ว มันทรุดหมด นั่งหรือเดินอย่างลำบาก จำได้ว่าชื่อครูสนั่นเข้ามาบอกกับฉันว่าอยากให้ท่านช่วย เรื่องตา ทุกวันนี้ก็ไม่น้อยใจเรื่องอะไร รับจ้างสอนหนังสือ บอกว่าเวลานี้ตามัวเข้าทุกทีเพราะเข้าใจว่าเป็นต้อกระจกบอกไม่อย่างนั้นก็พอรับจ้างสอนหนังสือได้ เด็กอิสลามเขามาเรียนด้วย
ถามว่า ครูเป็นอิสลามหรือ
บอกไม่ใช่ครับ ผมชื่อ สนั่น เป็นไทยพุทธ
ถามว่า นั่นลูกครูหรือที่อุ้มมา
บอกไม่ใช่ นั่นเป็นเพื่อนครูร่วมโรงเรียน รุ่นเด็ก เป็นไทยอิสลาม เขาอุ้มพามา
ส่วนครูไทยอิสลามที่อุ้มมาก็บอกว่า ท่านครับๆ อยากให้ท่านช่วยครูคนนี้จัง เพราะแกไม่มีญาติเลยแล้วเป็นคนยากจนมาก พิการ อยากให้ท่านช่วยรักษาให้ สงสารเขา
คือเห็นอย่างนี้ เมื่อเห็นความจริงก็เลยสาวเรื่องไป แล้วไปถามพระว่า ท่านอยู่ได้อย่างไร ไม่ลำบากหรือการฉันอาหาร ท่านบอกว่าไม่ คนอิสลามเขาเอามาช่วย ไทยพุทธมีน้อย แล้วพระท่านบอกว่า ชาวบ้านน่ะไม่มีอะไรเลย รักกันดี แต่ว่าระดับอื่นๆ อาตมาภาพอยากจะให้มหาบพิตรช่วยพูดว่าอย่าไปเข้าใจผิดกันเลย ให้แผ่เมตตากันไปเถอะ ท่านก็พูดอย่างพระ
พอค่ำเข้า ล่ามเริ่มไม่ยอมอยู่ กระสับกระส่ายกันเป็นแถว ฉันสงสัยว่า เอ๊ะ เขากลัวอะไรฉันก็ไม่กลับ กว่าจะกลับนี่ก็มืดสนิทแล้ว เห็นตามถนนนี่ เห็นไฟ เขามายืนจุดไฟตะเกียงกันเป็นแถว ลงหยุดทัก พอหยุดนี่ เขากลับตาเหลือก รีบบอกให้เราขึ้นรถกลับไปเสีย กลับๆไปเสีย ถามเขาว่าเป็นอย่างไร
เขาบอกตัดบทเฉยๆ ประไหมสุหรี (พระราชินี) กลับไปเถิด เลยเดาเอาเองว่าที่พระท่านออกมายืนเพราะว่ากลัวเราจะถูกทำร้าย พอเห็นท่าน เราก็ลงมาพูดด้วย ท่านกลับบอกให้รีบกลับๆ อย่างนี้แล้วจะไม่ให้รักเขาได้อย่างไร เขาหวังดีมาก
จับใจในความรักของประชาชน
แล้วที่จับใจในความรักของประชาชน บอกกับฝรั่งว่าจับใจในความรักของประชาชนไม่มีวันลืมได้เลย คือ เรื่องระเบิดที่ยะลา หลายปีมาแล้ว พอเสียงระเบิดดังปึง ปึงๆนี่ ชาวบ้านวิ่งหนี หกล้มคลุกคลาน เห็นเลยว่าวิ่งหนี เป็นแถวๆออกไป กลับบ้าน เหลือคนอยู่น้อย ทีแรกคนแน่น พอสักประเดี๋ยวสิ หอบแฮ่กๆ วิ่งกลับมาเป็นแถวอีก วิ่งกลับมากันร้องไห้กันหมด เขาบอก ดูเถอะ ดูใจตัวเองเถอะ กลับไปถึงบ้าน มันตกใจน่ะ มานึกได้ว่า โถทิ้งท่านอยู่ลำพัง นะนี่ ฉันก็เลยวิ่งกลับมาอีก เป็นห่วง ทีแรกก็กลัวตาย คราวนี้ขอบอกว่าตายเป็นตายด้วยกัน แล้วเด็กนักเรียนสาวๆคงเป็นไทยพุทธ เห็นพูดไทยได้ ร้องไห้ใหญ่เลย ร้องแบบไม่มีสติ บอกท่านๆคะ ท่านไม่ทำอะไรชั่วร้าย ท่านไม่ได้ทำอะไรให้ใคร เขาจะฆ่าท่านทำไม แกพูดซ้ำอยู่นั้น ร้องไห้ไป ตัวสั่น ท่านไม่เคยทำอะไรใคร ในหลวงไม่เคยทำอะไรใคร เขาจะฆ่าท่านทำไม ทำไมเขาต้องการจะฆ่าท่าน ชาวบ้านที่วิ่งกลับมาร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง บอกฉันกลับไปถึงบ้านแล้ว พูดทั้งที่หอบ แต่ว่านึกได้ว่าตายแล้ว พระเจ้าอยู่หัวกับราชินียังอยู่ จึงคิดว่าตายก็มาตายด้วยกัน เลยวิ่งกลับมาเป็นเพื่อน แหมความรู้สึกตรงกับเพลงที่ว่า หากใครแกล้งเธอ ฉันนี้จะยอมตายแทน พุทโธ่ อุตสาห์วิ่งกลับมากันหมดเลยและทำทีร้องไห้ วิ่งเข้ามากำบังคุ้มกันระวังพระเจ้าอยู่หัว เห็นแล้วจับใจ แล้วตำรวจราชสำนักบอกให้กลับพระตำหนัก อย่าเสด็จฯโรงพยาบาล อันตราย เพราะทางที่จะกลับ ถ้าค่ำแล้วยิ่งอันตรายใหญ่ เขาอาจจะยิงด้วยจรวดก็ได้ ให้รีบกลับเสียแต่วันๆเถอะ
พระเจ้าอยู่หัวบอกไม่ได้ เขามานี่ เจ็บเพราะเรามา เขามาหาเรา เราต้องไปเยี่ยม
มีรายงานบอกว่าไม่ได้เจ็บกันมากพระเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรอง ได้ข่าวว่าขีดข่วนเท่านั้นใส่ยาแดงแล้วก็กลับบ้านได้
ฉันคิดว่าการที่พระมหากษัตริย์ของบางประเทศล่ม เพราะเหตุอย่างนี้ คือเพราะเชื่อตามคำบอก
พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ขีดข่วนก็จะไปดู เขาไม่ยอม สั่งรถพระที่นั่งให้กลับพระตำหนัก รถพระที่นั่งวิ่งกลับ พระเจ้าอยู่หัวสั่งให้เลี้ยวกลับเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปโรงพยาบาล
คนขับรถกลัว เลี้ยวไปอีกทางที่ไปโรงพยาบาล พอไปถึง เราตกตะลึง เพราะเลือดสาดเต็ม แล้วมีเด็กผู้หญิงสาว อายุสัก17-18 กำลังหอบ ปอดยุบไปข้าง ถ้าเราไม่ไปก็ตายแล้ว เด็กอีกคนตาก็จะบอดคือคนนอนกันเต็ม เห็นแต่เลือดๆทั้งนั้น พอเข้าไป เด็กสาวนั้นเห็นเรา เขาก็ร้องไห้ บอกท่านคะ หนูเจ็บเหลือเกิน หนูหายใจไม่ออก หนูเจ็บ พ่อแม่ก็ไม่ได้มา ท่านช่วยหนูด้วย
ฉันยื่นมือให้จับ หมอบอกว่าออกซิเจนเข้าไม่ได้ ต้องเจ็บปวด เพราะลมมันดันที่หน้าอก ตับมันเสียไปข้าง ปวดมาก เขาให้ออกซิเจนอยู่แล้ว แกตกใจ ยึดมือแน่น หมอบอกฉีดยาให้หลับก็ไม่หลับ เพราะตกใจ ไม่ยอมหลับ
ถาม หนูจะตายไหมคะท่าน หนูจะตายไหม
ฉันบอก หนูไม่ตาย แต่ขออย่าพูดนะจ๊ะ หมอเขาบอกว่าอย่าพูด ต้องเก็บกำลังไว้ เขากำลังเตรียมห้องผ่าตัด บอกหนูหลับซะ
แกก็ว่า หนูไม่กล้าหลับ เดี๋ยวตาย
บอก หลับซะ ไม่ตาย ฉันยืนตรงนี้ จับมือไว้ ฉันยืนอยู่ด้วย จนกว่าพ่อแม่หนูจะมา ฉันยืนตรงนี้ไม่ไปไหน รับรอง แล้วคุณหมอ ดนัยฯ ก็จัดการให้ออกซิเจนเข้ามาก แกถึงผล็อยหลับไปได้
ส่วนเด็กผู้ชายอิสลาม หมอไม่รับรองความปลอดภัย สะเก็ดระเบิดเข้าตาและเลือดไหลออกมามาก พ่อแม่ยืนเฝ้าทั้งน้ำตา เราเห็นแล้วใจหายหมด เห็นแล้วนึกว่าดีนะที่เราไม่เชื่อใคร พอเขาเห็นเราเขาก็ใจชื้นใจสบาย รับสั่งให้หมอโรงพยาบาลพระมงกุฏที่อุตส่าห์อาสาตามเสด็จฯ ให้ไปช่วยหมอยะลาทำการผ่าตัดตรงทรวงอกเพราะเศษระเบิดมันฝังข้างในแล้วปอดมันทะลุ
ทรงเล่าถึงการทรงงานกับขอบเขตของสถาบันกับการเมือง
ขอถามนักข่าวที่รู้เรื่องกฎหมายว่าอย่างนี้เป็นการทำผิด เป็นการเมืองหรือเปล่า ที่ฉันเข้าไปเยี่ยมราษฎร แล้วชาวบ้านมาเล่ามาบอกให้รู้ว่าขอให้ท่านช่วยพูดกับเจ้าหน้าที่สูงๆ หน่อยว่าให้เห็นใจคนไทยอิสลามบ้าง ขอให้เข้าใจว่าเขานี่อยากอยู่อย่างสงบเท่านั้นเอง อันนี้การเมืองไหม ฉันแยกไม่ถูกว่าฉันย่ำลงไปตรงการบ้านการเมืองหรืออะไรตรงไหน ฉันทราบฉันรู้อย่างเดียวว่าถ้าดับร้อนของคนไม่ได้แล้ว ภาคใต้เราอาจจะต้องเสียแก๊สธรรมชาติไป ซึ่งเมืองเราควรจะรักษาไว้ เพื่อนฝรั่งเขาบอกว่าสงสัยมีน้ำมันด้วยที่อ่าวไทยทางภาคใต้ ไม่ใช่เฉพาะแก๊ส แล้วถ้าเผื่อคนไทยทั้งพุทธทั้งอิสลามตีกันนัวอย่างนี้มันก็แย่ ทางที่จะสูญเสียมันก็เป็นไปได้
นาวิกโยธินชั้นเด็กมาบอกว่า ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรับสั่งกับนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นสมัยนายกฯ เกรียงศักดิ์ (ชมะนันทน์) ว่าอยากให้ปรับเงินเบี้ยเลี้ยงของตำรวจให้ได้เท่ากับทหาร แล้วเหตุการณ์มันจะได้ดีขึ้น เพราะว่าตำรวจได้เงินน้อย ฉันบอกว่า ไม่เป็นไร ฉันจะบอกนายกฯให้ นี่การเมืองแล้วใช่หรือไม่ ฉันก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร
(คุณเสริมศรี เอกชัย กราบบังคมทูลไม่เป็นการเมือง เพราะประชาชนย่อมยึดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์เป็นเหมือนพ่อแม่เหนือหัว เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนแล้ว ถ้าไม่บอกพ่อแม่แล้วจะให้ไปบอกใคร บางครั้งเขาก็ไม่มีที่พึ่ง)
แต่อันนี้มีบางคนบอกว่าอยู่ในการเมือง โลแมคซ์ (นายปีเตอร์ โลแมคซ์ ผู้สื่อข่าวแห่งบีบีซี กรุงลอนดอน) ก็บอกว่านี่การเมือง เรื่องอะไรของยู ยูเป็นคิงควีน เรื่องอะไร จะต้องมาเอาธุระ คนไหนเจ็บ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล
ฉันบอกปล่อยน่ะปล่อยได้ แต่ทีนี้โรงพยาบาลล้นมือ แล้วอีกอย่างที่ชาวบ้านเขาไม่ไปโรงพยาบาล เพราะบางครั้งหมอและนางพยาบาลถามเพื่อเป็นฟอร์มว่า มีเงินช่วยเหลือไหม เพียงถามว่ามีเงินไหม แกก็วิ่งอ้าวออกจากโรงพยาบาล แล้วแกบอกว่าฉันคนจนไม่มีเงินเลย บอกคอยพระเจ้าแผ่นดินดีกว่า แล้วโลแมคซ์จะมาบอกว่าเรื่องอะไรของยู ถึงต้องไปทำเรื่องเวลแฟร์ (สวัสดิการ-สงเคราะห์) อย่างนี้มันเรื่องของรัฐ เขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาแย่งรัฐทำ ฉันบอกว่าเอ๊ะ ประเทศเราจนนะ มันต้องช่วยกัน ใครช่วยกันได้ก็ต้องช่วย แต่อีกคนหนึ่ง บริจิต (ผู้สื่อข่าวของบีบีซี เหมือนกัน) เขาบอกว่าเพราะทรงช่วยราษฎรอย่างนี้ เมืองไทยถึงจะอยู่ได้ต่อไป เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็มองไม่เห็นทางรอด
สำหรับ จุฬาภรณ์ เด็กคนนี้เก่งภาษา เดี๋ยวนี้พูดภาษาพื้นเมืองภาคใต้ได้ ที่เรียกว่า ภาษายาวี จุฬาภรณ์บอกว่า พอพูดกับชาวบ้านเท่านั้น เขาก็เข้ามากระซิบว่าใครเขาจะแยกดินแดนอะไรเขาไม่ทราบ แต่พวกเขารักรายอ (พระเจ้าอยู่หัว) เพราะรายอนี่ยุติธรรม รายอทำนุบำรุงศาสนาอิสลามและทำนุบำรุงศาสนาพุทธเท่ากัน แล้วเขาบอกว่าเหตุที่เขาไม่อยากพูดไทยเพราะว่าเป็นอันตราย เขาบอกว่าเขารักทหาร รักนาวิกโยธิน เพราะทหารนี่ยุติธรรม เขาชมแม่ทัพภาค 4 มากว่าเป็นธรรม เขาบอกว่าเขาขอความเป็นธรรมอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเขาเองไม่คิดว่าเขาอยากจะแยกอะไร อาจจะมีคนคิดไม่กี่คน แต่เขาอยู่อย่างนี้่ เขาก็สบาย เขาชอบอยู่อย่างนี้ แล้วบอกว่าคนที่ยิงคนอิสลามและยิงทั้งไทยพุทธด้วยนั้น เป็นคนอิสลามจริงอยู่ แต่เป็นพวกที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เป็นพวกติดยาเสพติด เที่ยวรับจ้างเขายิงคน
ถ้าคุณทั้งหลาย นักข่าวทั้งหลายไปเห็นหน้าชาวบ้านที่นครศรีธรรมราช ที่ฉันต่อว่าเขาเรื่องพระองค์เจ้าหญิง วิภาวดีรังสิต ตายนี่ (เดิมคือหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิตทรงถูกลอบยิงถึงแก่ชีพตักษัยขณะขึ้น ฮ.ไปช่วยชาวบ้านเมื่อ 16 ก.พ. 2520) เขาหน้าเจี๋ยมเจี้ยมหมดเลย หน้าเศร้าหุบกันหมด ก้มหน้า ฉันถามรู้ไหมจ๊ะทำไมพวกบนเขาต้องฆ่าเจ้าหญิง เขาเรียกเจ้าหญิงวิภาวดี ทำไมต้องฆ่าด้วยล่ะ เงียบหมดเลย คนกลุ่มใหญ่นั่งก้มหน้า บางคนก็ซับน้ำตา เขาบอกว่ามันไม่รู้ ไม่รู้ว่าแกอยู่บนเครื่องบินนั้น รู้ก็ไม่ทำเพราะแกดี แล้วเขาก็เอาใจฉัน นี่รู้ไหมท่านว่าเสียใจกันทั้งนั้น พวกนั้นวางปืนตั้งเยอะออกไปบวชให้ เพราะเขาบอกว่าถ้าคอมมิวนิสต์ฆ่าคนที่ดี ที่เป็นธรรม ไม่มีแม้แต่อาวุธในมือเขาก็ไม่เป็น เขาร้องไห้กันวางอาวุธหมดเลยออกไปโกนหัว
ระหว่างพูดเรื่องนี้เขาหลบสายตาหมด เขาใจหาย เลยรู้ว่า อ้อถ้าเราทำอะไรถูกตามทำนอองคลองธรรม หมายความว่าทำอะไรที่ยุติธรรมแล้วถูกต้องนี่ แม้แต่คนที่เขานึกว่าเขามีอำนาจ เขาก็ต้องกลัว เขาต้องหลบสายตา คือเขารู้ว่าเขาผิดเขาต้องไม่สบายใจ บอกว่านั่นน่ะไปยิงท่านตายฉันจะหาใครที่กล้าอย่างนี้ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วย เดี๋ยวก็ตายกันหมดฉันจะหาใครแทนได้อีก
ในหลวงรับสั่งครอบครัวจะได้อยู่พบกันเฉพาะช่วงรับประทานอาหารกลางคืน
(ทูลถาม) ในการที่ทรงมีพระราชกรณียกิจเสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎร และทรงงานศิลปาชีพ ทรงแบ่งเวลา ในแต่ละวันอย่างไร
(ทรงตอบ) ตอนหลังๆนี่แบ่งลำบากมาก เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านรับสั่งว่า ตอนนี้ต่างคนต่างเป็นเครื่องจักร พบกันระหว่างทำงานด้วยกัน อยู่ในหมู่คน แล้วที่ครอบครัวจะได้อยู่พบกันก็คือที่รับประทานอาหารกลางคืนด้วยกัน เท่านั้นเอง โดยมากอย่างที่ไปต่างจังหวัดนี่ ต่างคนต่างออกไปทำงานแล้วกลับมาก็ต้องสรุปข้อความอีกว่าใครจด อะไรบ้าง สิรินธรจะเขียนที่เขาจดมาแล้วส่งที่กองราชเลขาฯ สมเด็จฯ จุฬาภรณ์จดส่วนที่เขาเขียนมา ฉันก็สรุปของที่ ฉันเขียนมา ทุกคนนางสนองพระโอษฐ์ นางพระกำนัลทุกคน ก็สรุปอย่างนั้น ต่างคนต่างทำงานกัน อย่างออกไปวิ่ง ตอนตี1 ที่นราธิวาสปีที่แล้ว (พ.ศ.2522) นางสนองพระโอษฐ์คนหนึ่งวิ่งตามมาบอกว่า หม่อมฉันเพิ่งสรุปเสร็จ (ทรงพระสรวล)
สมมติว่าเสด็จฯกลับมาถึงพระตำหนัก 2 ทุ่มครึ่ง 3ทุ่ม กว่าจะเสร็จสรุปก็ใกล้ตีหนึ่ง เขารับประทานพลางแล้ว เขียนสรุป เพราะว่าไม่เคยชอบที่ว่าประชาชนมาขอให้ช่วยเหลือแล้ว สักแต่ว่าเขียนใบส่ง ให้เขาส่งไปโรงพยาบาล ให้ค่ารถแล้วก็แล้วไป อันนี้ไม่ชอบ ต้องตามผลงานเสมอว่า ถ้าเขาเป็นโรคหัวใจ ส่งเขาไปผ่าตัดนี่ ลูกข้างหลังเล็กๆ นี่จะอยู่กับใคร ถ้าแม่มาผ่าตัด พ่อไปทำงาน คือหมายความว่านางสนองพระโอษฐ์กับนางพระกำนัล ต้องทำละเอียดมากเลย เขาไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพราะว่าเราก็บอกกันว่าช่วยเมืองไทยกันนะ
แล้วอีกประการหนึ่ง ฎีกาที่ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็มากมายก่ายกอง คือระยะหลังนี้ชาวบ้าน ก็มาปรับทุกข์กับพระเจ้าอยู่หัว มีอะไร เขาก็มาบอกปรับทุกข์หมดเลย มีอะไรก็ขอให้ท่านช่วยโน่นช่วยนี่หรือ แนะนำว่าเขาควรจะทำอะไร
อย่างชาวคลองใหญ่ที่ตราด เขาบอกว่าขอให้ชาวคลองใหญ่ ได้มีหมอไปดูแลอย่างน้อยเดือนครึ่งต่อครั้งหนึ่งก็ยังดี เพราะว่าชาวคลองใหญ่มีจำนวนมาก หมอไม่พอ เห็นคนเจ็บกันมาก ส่วนมากเป็นโรคหัวใจ แล้วก็โรคประสาท พอบอกว่าจะพยายาม เขาก็ดีใจ แต่ยังไม่ได้บอกว่ารัฐบาลว่าจะให้อะไรเขาได้เพราะไม่มีที่ดิน ที่ดินจำกัด
อาจจะต้องส่งเสริมศิลปาชีพ ต้องคิดอีก ถ้ามัดหมี่กันเกร่อ ล้นตลาด มีราคาถูก ชาวบ้านก็จนอีก ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ถ้าย่านลิเภา เกร่อหมด มันก็ไม่ไหว คือต้องดูหาขอองใหม่อยู่เรื่อยสำหรับมูลนิธิศิลปาชีพฯว่าจะทำอะไรที่ไม่ใช่คนซื้อเพราะสงสาร เอ้า ช่วยกันซื้อ คนละไม้คนละมือ อย่างนั้นไม่ได้ เมืองไทยอยู่ไม่ได้ ต้องทำอะไรที่คนเห็นแล้วอยากซื้อเอง แล้วก็ต้องหาตลาดต่างประเทศเพื่อว่าเงินจะได้หมุนเวียนบ้างอย่างนี้ ถึงได้ลงทุนไปเมืองนอก แล้วพยายามพูดกับเพื่อนฝรั่งเขาว่าให้ช่วยหน่อย ไปตระเวนตามร้านต่างๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาก็ยินดีที่จะรับ โดยเฉพาะเขาจับใจ คนไทยที่ว่าช่วยเหลือพวกลี้ภัย
อย่างเดินไปตามถนนที่อเมริกา คนอเมริกันเขาถามว่า ขอโทษทีเป็นพระราชินีไทยใช่ไหม - บอกใช่ เขาบอกว่าขอจับมือหน่อย ขอเช็คแฮนด์เพราะว่าคนไทยนี่ยอดมาก อุตส่าห์รับคนเขมรผู้ลี้ภัย - บอก สงสารเขา
เรื่องการดูแลผู้ป่วยในชนบทนี้ ฉันได้พูดกับนักเรียนไทยในต่างประเทศว่า ขอให้นักเรียนไทย ซึ่งเป็นคนฉลาด มาทำปริญญาต่างๆ ทำพีเอชดี (ปริญญาเอก) มาทำอะไรต่ออะไร คิดดูให้ดี คิดให้ลึกซึ้ง ดูว่าเรานี่ เวลานี้ต้องช่วยกันพยุงเมืองไทยทุกทาง จะเผลอตัวไม่ได้เลย จะแบ่งคนมีจนอะไรนี่ไม่ได้เลย ต้องช่วยกันคนละมือ สองมือ
บอกเขาตามตรงว่าคุณก็เป็นคนฉลาด มาเรียนสูงๆแล้วก็เห็นกับตาตัวเองใช่ไหม ระหว่างผิวหน้าเหลืองๆด้วยกัน คนที่เป็นเอกราชกับคนที่บ้านเมืองล้มนี่เป็นอย่างไร นักเรียนไทยเขาก็เงียบ
คนไทยก็ประเสริฐ นี่หมอไทยในอเมริกาเขาก็อาสาสมัครมาไทย เขาเข้าชื่อกันแล้วจะเวียนกันมา เรื่องนี้รักน้ำใจเขา เขาบอกว่าจะให้ช่วยอะไรท่านได้บ้าง
บอกช่วยเรื่องหมอได้ไหมเพราะว่าโรงพยาบาลท่านอาจารย์ฝั้นนี่ ลูกศิษย์มีศรัทธาสร้างโรงพยาบาลทันสมัยเจี๊ยบ แต่ว่าไม่มีบุคลากรเลย โรงพยาบาลพระยุพราชก่อนท่านอาจารย์วันสิ้น ปีสุดท้ายที่สกลนคร เสด็จฯไปเยี่ยมราษฎร เด็กถูกงูกะปะกัด ตัวดำไหม้หมดแล้ว บังเอิญวันนั้นมีหมอไปด้วยก็ได้ช่วยชีวิตเด็ก หมอดูแล้วบอกว่าแย่แล้ว นี่เด็กนี่ แกงกรีนกิน เริ่มแล้ว ถ้าไม่ผ่าตัดในวันนี้ก็ตาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งให้รถจิ๊ปในขบวนให้เอาเด็กไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้
ฉันซักแม่เด็กว่า นี่ลูกถูกงูกัด ทำไมไม่รู้จักพาไปโรงพยาบาล
เขาบอกว่า ไปไหน
ก็โรงพยาบาลพระยุพราชนั่นละ ทำไมไม่ไป
เขาบอกว่า ไปแล้วไม่มีคน
อย่างนี้ผู้หญิงไทยทำได้ นักข่าวหญิงช่วยได้มากเลยทำอย่างไร ก็รู้ละว่าเราเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ทำอย่างไรถึงจะทำให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าแม้จะอยู่แห่งหนตำบลใด จะอยู่ประเทศไหนก็ตามแต่ ประเทศไทยนี้สำคัญ มีเอาไว้เป็นประการสำคัญ แม้แต่กับอนาคตของตนเอง
อยากให้หมอทั้งหลายในอเมริกานี่ร่วมลงชื่อกันมากกว่านี้ แล้วก็อยากให้ทำเป็นข้อเสนอว่าในปีนี้หมอไทย ที่อยู่ในต่างประเทศจะมาช่วยเมืองไทยได้กี่คน ใครจะมาได้ไหม ถ้ายิ่งสมัครกันในมุมกว้างก็ไม่ต้องมาบ่อย เพราะว่าเราขาด หมอจริงๆ
(ทูลถาม) เวลาเสด็จไปท่ามกลางประชาชนที่เป็นโรคต่างๆ มีวิธีป้องกันตัวอย่างไร ไม่ทรงกลัวติดโรคหรือ เพราะเห็นราษฎรจับพระหัตถ์
(ทรงตอบ) ไม่กลัว เพราะรู้จักระวังตัว แต่ก็สะดุ้งเหมือนกันเป็นสัญชาตญาณของคนที่อดไม่ได้ เรื่องนี้เกิดที่สุราษฎร์ธานี นานแล้ว มีคนไม่มีจมูกเลย เขามีน้ำหนองไหลออกมา ไม่มีเบ้าตาเลย หน้าเละ คิดว่าคงเป็นโรคเรื้อน เขาวิ่งเข้ามาหา มาจับที่เท้ามากราบ พอเห็นก็ตกใจเหมือนกัน องครักษ์ที่อยู่ข้างๆก็สะดุ้ง แต่ฉันนึกในใจว่า เรานี่เขานับถือเป็นพ่อเป็นแม่ จะให้เขาเห็นว่าสะดุ้ง หรือไม่อยากให้เข้าเห็นว่าเรากลัวเขา เพราะถ้าเขาเห็น เขาจะต้องเสียใจมาก ในแววตานี่ เลยนึกในใจว่าตอนนี้ทำสะดุ้งไม่ได้เลย
ถามเขาว่ามีทุกข์อะไร เขาเล่าว่าเขาเป็นอย่างนี้ แล้วสามีเลยทิ้ง อยู่กับแม่แก่และลูก ไม่มีเปลือกตา น้ำตาไหลออกมา มันอักเสบมาก เพราะไม่มีเบ้าตา จมูกไม่มี พอเห็นความรู้สึกครั้งแรก ก็กลัวใจหายวาบ แต่ก็หวังว่าไม่ได้แสดงออกมา
พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนว่าคนเรานี่จะเป็นอะไรมันก็เป็น รับสั่งว่าโรคเรื้อนนี่มันติดยากจะตาย มันไม่ติดง่ายหรอก แล้วทูลว่าก็รู้ว่าติดไม่ง่ายแต่อดสะดุ้งไม่ได้ แต่เขาคงไม่เห็นหรอก ตอนหลังทรงสอนนี่หลายปีแล้ว ที่เป็นทีบี (วัณโรค) ก็เยอะ โดยมาก เขามีความทุกข์อะไร เขาให้คนอุ้มมาหา อย่างคนพิการใส่รถที่ลากน้ำแข็งมา ถือว่ารักษากับพระเจ้าอยู่หัว ไม่ต้องเสียตังค์ ไม่ว่าจะพูดภาษาอะไรก็เหมือนกันหมด คือกลัวเสียสตางค์
เขาบอกว่า ตังค์ฉันไม่มี
ถามเขาว่า ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลกันบ้าง ปล่อยให้ลูกเป็นมาก เป็นโรคหัวใจจนเขียวนี่
เขาบอกว่า ไม่ได้ ไม่มีตังค์
บอกเขาว่า โรงพยาบาลเขาไม่เอาตังค์หรอก
ชาวบ้านบอกว่า เขาเอา เขาถามนี่ว่า มีเงินไหม
ชาวบ้านที่เป็นไทยอิสลามน่าสงสาร ถ้าทุกคนไปเห็นต้องสงสารเขา เพราะว่าซี๊ดซีด เป็นวัณโรคเสียปอดพรุนหมด บางคนลูกยังเล็ก ตัวเขาเองซีด แล้วไม่กล้าขอร้อง ได้แต่มานั่งมอง พอฉันเห้นซีดเซียวแล้วลูกก็ยังตัวเล็กนิดเดียว ฉันเข้าไปถาม เขาก็บอกว่าซาเกะๆ คือเจ็บหน้าอก
ฉันก็รู้แล้วว่าต้องวัณโรคแน่ เรียกหมอ เรียกล่ามมา คือ เขาไม่กล้าแม้จะขอความช่วยเหลือ เขานึกว่าเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่กล้าเลย ความที่น่าสงสารคือ ความไม่กล้า ที่น่าสงสารอีกแห่งคือ ประชาชนที่วัดเชิงเขา อยากจะให้ไปดูเหลือเกิน ทั้งหมู่บ้าน ยาระงับประสาทของหมอนี่หมดเกลี้ยง เข้ามาหาหมอ เดินตาเป๋งมา บอกหมอ ขอยาฉันกินหน่อย ฉันเป็นโรคประสาท หมอถามว่า เอ๊ะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคประสาท เขาบอกว่ามันนอนไม่หลับ นอนไม่หลับเลย
เมื่อครั้งตอนไปเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านก้านเหลืองดงนี่ สมัยนั้นคุณเปรมฯเป็นแม่ทัพ พอฉันจะไปก็บอกว่า "เสด็จฯไม่ได้" บอกที่นั่นเต็มเลย เป็นดงของเขาละ ฉันบอกคุณเปรมต้องให้ฉันไปจนได้ละ บอกคุณเปรมฯเป็นแม่ทัพ แม่ทัพกลัวด้วยหรือ คุณเปรมฯบอกว่า "อ้าวเสด็จฯ ก็เสด็จฯ" แต่คุณเปรมฯสั่งให้ทหารไปคันรถเบ้อเร่อ พวกหมวกแดง พอฉันเห็นทหารจะไปเป็นรถกุดัง พากันวิ่งขึ้นรถใหญ่ ฉันบอกว่าลงมาเดี๋ยวนี้ ลงมา ไปอย่างนี้ เขาระเบิดคันเดียว เสียทหารหมด ไม่ต้อง ฉันบอกว่า เขาไม่รู้ตัวหรอก เขาไม่เตรียมหรอก ทหารก็ลงจากรถ แล้วพอฉันขึ้นฮ.ไป พวกทหารก็ขึ้นรถอย่างเดิมกวดไป พวกทหารไม่ยอมเลย แต่ละคนก็...ฉันได้ยินแล้วปลื้มใจ ทำไมจะไม่ให้รักเขา เขาบอกพวกเราตายแทนเสียยังดีกว่า
แต่ท่านผู้หญิง สุประภาดาฯ นี่แม่ทัพเกาศีรษะร้องว่า เอ๊ะ ท่านมาเดินปร๋อได้อย่างไร มากันผู้หญิงทั้งนั้นเลย ก็แต่งตัวธรรมดาๆ แล้วไปกับชาวบ้าน ขึ้นรถไป ไปในที่เขาเรียกว่ากระโซ่ง แหมเบิกบานเข้ามากอด มาถาม บุ้ยไปที่น้อย (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ) นี่อายุเท่าไหร่ พอบอกว่าลูกสาวตอนนั้นอายุ 22 เขาถามเอาผัวยังบ่ (ทรงพระสรวล) แม่น้อยอายเชียว บอกว่ายังจ้ะ นั่นเขายังเด็กอยู่ เขายังไม่เอาผัว เขามองแม่น้อยพลางสั่นหัว อืมไม่เด็กแล้วนา บ่เด็กแล้ว เขากลัวจะขายไม่ออก เขาบอกว่า ลูกเขาป่านนี้เอาผัวหมดแล้วต้องขายออก แล้วเขาก็หันมาทางแม่น้อย มาลูบหน้าลูบหลัง บอกเอาผัวซะ แล้วยายนี่จะไป ป้าจะไป น้าก็จะไป เวลาแต่งงานบอกมาด้วยนะจะไปหมดเลย พอปีหน้าไปเยี่ยมใหม่ แกก็ถามเอาผัวยัง วิตกของเขาทุกปีเลย
ความรักความใกล้ชิดกับประชาชนที่ไม่สามารถบอกได้
ทุกคนเป็นพยาน ความรักความใกล้ชิดที่ไม่สามารถจะบอกได้ เห็นเหงื่อนฉันไหล เขาเอาผ้าเช็ดหน้าของเขา ที่ปูบนพื้นมาถูให้ใหญ่เชียว ฉันไม่ได้รังเกียจ แต่ฉันสะดุ้งเฮือกพยายามเบนหน้าหนี ไม่ได้กลัวอะไร กลัวเครื่องสำอางหลุด มันคนละสีน่ะ แย่เลย พุทโธ่ เราทาไว้สีหนึ่ง เขาเอาอีกสีหนึ่งขึ้นมาเช็ดใหญ่เลย เคราะห์ดีที่ไม่หลุดมาก ต้องหันมาถามนางสนองพระโอษฐ์ว่า นี่หลุดหรือเปล่า เดี๋ยวคนละสีก็น่าดู เขาไม่บอกไม่กล่าวเลย โอ๋แม่คุณ โอ๋ใหญ่พร้อมทั้งเช็ดให้ใหญ่ โถอย่างนี้ นี่คือความรักความหวังดี เพราะเขาเอง เขาก็เอาผ้านั้นมาเช็ดหัวเขา พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับรองพระบาทแล้วเขาก็เอามาไว้บนหัวเขา
พระเจ้าอยู่หัวบอกว่านี่น่ะอันตรายอย่างหนึ่ง เขานึกว่าเราไม่ใช่คน นึกว่าเราเป็นเทวดา จะบอกเท่าไหร่ๆก็ไม่ฟัง พูดอธิบายเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟัง แย่งกันฉุดพระบาทของพระเจ้าอยู่หัว ท่านบอกว่าอย่างนี้ก็ล้มสิ ต่างคนต่างจะเอาพระบาทขึ้นไปไว้บนหัว คนนั้นแย่งข้าง คนนี้แย่งอีกข้าง เรื่องนี้นานมาแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวก็เหมือนกัน เขาเห็นทรงเหนื่อยมา เหงื่อไหล เขาก็วิ่งมา อุตส่าห์เอาแก้วมา แล้วเปิดน้ำอัดลมมาให้ ขนาดจนๆ นี่วิ่งเอามาให้ พวกทหารองครักษ์บอกเสวยไม่ได้นะพะย่ะค่ะ เสวยไม่ได้ แต่ท่านก็เสวย รับสั่งว่า "ไม่ได้ เสียน้ำใจ"
พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเข้าใจ ฝ่ายอารักขาเขาก็รักและเป็นห่วง เขาไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวาง แต่เขากลัวและเป็นห่วง แล้วนี่คือความรักของประชาชนที่ฉันจับใจ บอกกับฝรั่งว่าจับใจ ไม่มีวันลืมเลยเป็นอันขาด
ที่มา : หนังสือรอยยิ้มของในหลวง ในบทชื่อ "พระราชินี พระราชทานสัมภาษณ์ ...แก่กลุ่มนักข่าวหญิง" โดย อาริยา สินธุจริวัตร บุนนาค จากหนังสือพระราชกระแส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระราชทานสัมภาษณ์ แก่กลุ่มนักข่าวหญิง พ.ศ.2523