ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งมธ.ไล่ออก "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล"
ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งมธ. ไล่ออก "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" ชี้ไม่ได้จงใจละทิ้งหน้าที่ราชการ
ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งมธ. ไล่ออก "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" ชี้ไม่ได้จงใจละทิ้งหน้าที่ราชการ
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาคดีที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ยื่นฟ้องอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ 356/2558 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ศาลปกครองกลางได้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ 356/2558 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว
ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเนื้อหาของคดีว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ปรากฏในคำสั่งไล่ออกระบุว่าผู้ฟ้องคดีไม่มาปฏิบัติราชการและรับมอบหมายภาระงานสอนนับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2557 โดยมิได้รับอนุมัติการลาไปปฏิบัติงานในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการและมิได้มีการลาในเรื่องอื่นใด เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการในเรื่องการลาและการปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ทำให้มหาวิทยาลัยฯ ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกัน เป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือไม่
โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นเรื่องขอไปปฏิบัติงานภายในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการเพื่อทำงานวิจัย เรื่อง ปรัชญาประวัติศาสตร์และสังคมของเฮเกล มีกำหนด 1 ปี โดยมีระยะเวลาเริ่มต้นงานวิจัยในวันที่ 1 สิงหาคม 2557 และสิ้นสุดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 จึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่า จะถือว่าผู้ฟ้องคดีได้ไปปฏิบัติงานภายในประเทศ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ตามที่ได้ยื่นเรื่องขออนุมัติไว้หรือไม่
ซึ่งศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งกรณี กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งทางปฏิบัติในเรื่องนี้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วเห็นว่า กรณีการอนุมัติให้อาจารย์ไปปฏิบัติงานตามระเบียบทบวงมหาวิทยาลัย ว่าด้วยการให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ พ.ศ. 2553 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2554 ไม่ใช่การยื่นเรื่องขอลาราชการเพื่อหยุดการปฏิบัติหน้าที่ ในระหว่างนั้นที่จะต้องได้รับอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้บังคับบัญชาอย่างชัดแจ้งก่อน จึงจะหยุดราชการได้ แต่มีลักษณะเป็นการขอไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในสถานที่อื่นๆ นอกมหาวิทยาลัยเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ ซึ่งแม้กรณีนี้อธิการบดีฯ จะยังไม่ได้ลงนามอนุมัติในคำขอไปปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่กระบวนการสำคัญในการพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของผู้ขอ ลักษณะและความเหมาะสมของเรื่องที่จะทำการวิจัย และระยะเวลาที่วิจัย ฯลฯ ซึ่งระเบียบฯ กำหนดให้ดำเนินการตรวจสอบและพิจารณาโดยหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ และคณะกรรมการประจำคณะฯ ได้เสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2557 อันเป็นวันเริ่มต้น
การทำวิจัย โดยที่กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของการทำวิจัยถือเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากจะต้องชะลอการไปปฏิบัติงานวิจัยไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากอธิการบดีฯ ซึ่งไม่แน่นอนว่าการอนุมัติดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมกระทบต่อกระบวนการทำวิจัยและความสำเร็จสมบูรณ์ของงานวิจัย ประกอบกับก่อนหน้านี้เคยมีกรณีที่มหาวิทยาลัยฯ มีคำสั่งอนุมัติการไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการของผู้ฟ้องคดีในภายหลัง
เมื่อผู้ฟ้องคดีกลับจากปฏิบัติงานตามที่มีคำขอแล้ว ย่อมก่อให้ผู้ฟ้องคดีเข้าใจไปได้ว่าเมื่อวันเริ่มต้นของการวิจัย คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2557 มาถึง ผู้ฟ้องคดีสามารถไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการได้เลย โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากอธิการบดีฯ ก่อน อีกทั้งตามคำสั่งไล่ออกที่พิพาทระบุให้คำสั่งมีผลนับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป
ซึ่งเท่ากับว่า ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันเริ่มต้นของการวิจัย คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2557 จนถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2557 มหาวิทยาลัยฯ ก็เห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ และละทิ้งหน้าที่ราชการ กรณีจึงต้องถือว่า ผู้ฟ้องคดีได้ไปปฏิบัติงานภายในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ตามที่ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตไว้
ต่อมาเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์และคณบดีคณะศิลปศาสตร์ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2557 และลงวันที่ 26 ธันวาคม 2557 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งถือว่าอยู่ระหว่างปฏิบัติงานภายในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ กลับไปปฏิบัติราชการและรับมอบหมายภาระงานสอน แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้กลับไปปฏิบัติราชการที่คณะฯ จึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า กรณีดังกล่าวจะถือว่าผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ที่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่าเมื่อในทางพิจารณาถือว่าผู้ฟ้องคดีอยู่ระหว่างปฏิบัติงานนอกมหาวิทยาลัยฯ ตามระเบียบทบวงมหาวิทยาลัยว่าด้วยการให้ข้าราชการไปปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ พ.ศ. 2523 แก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2554 ดังนั้น จึงต้องนำหลักเกณฑ์ตามระเบียบทบวงมหาวิทยาลัยดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้กลับมาปฏิบัติราชการ มาประกอบการวินิจฉัย
โดยตามระเบียบดังกล่าวกำหนดว่า ผู้ที่มีอำนาจสั่งให้ผู้ไปปฏิบัติงานภายในประเทศ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการกลับมาปฏิบัติราชการ คือ ผู้อนุมัติ ซึ่งในกรณีของผู้ฟ้องคดี คือ อธิการบดีฯ เช่นนี้แล้วหากหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์และคณบดีคณะศิลปศาสตร์มีความจำเป็นต้องให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติราชการประจำเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ก็ชอบที่จะนำเสนอความจำเป็นดังกล่าวต่ออธิการบดีฯ เพื่อมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติราชการ การมีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีกลับมาปฏิบัติราชการโดยไม่ได้อ้างถึงคำสั่งของอธิการบดีฯ ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีคำสั่งไม่อนุมัติคำขอไปปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดี โดยรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการเพิ่งมีคำสั่งยกเลิกการขออนุมัติลาไปปฏิบัติงานฯ ของผู้ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2558 อันเป็นการสั่งการภายหลังจากที่หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์และคณบดีคณะศิลปะศาสตร์มีหนังสือ แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีกลับมาปฏิบัติราชการนานกว่าหนึ่งเดือน และภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ ในช่วงเวลานับจากวันที่หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์และคณบดีคณะศิลปะศาสตร์มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีกลับมาปฏิบัติราชการดังกล่าว จนถึงวันก่อนวันที่รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมีคำสั่งยกเลิกการขออนุมัติลาของผู้ฟ้องคดี (ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2557 ถึงวันที่ 27 มกราคม 2558) ย่อมเป็นสภาวการณ์ที่ยังไม่แน่ชัดว่าเรื่องขอลาไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการ และเรื่องขอลาออกจากราชการของผู้ฟ้องคดีจะได้รับอนุมัติจากอธิการบดีฯ หรือไม่ และผู้ฟ้องคดีจะต้องยื่นใบลาประเภทอื่นต่อผู้บังคับบัญชาหรือไม่ ประกอบกับในการพิจารณาความผิดวินัยของข้าราชการที่มีพฤติการณ์ “จงใจ” ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ นั้น จะต้องได้ความด้วยว่า ข้าราชการผู้นั้นได้รู้หรือทราบข้อเท็จจริงดีอยู่แล้วว่า การกระทำของตนเข้าลักษณะเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการและเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการ แต่ก็ยังเจตนาแสดงพฤติการณ์ที่ฝ่าฝืนดังกล่าว ซึ่งกรณีของผู้ฟ้องคดีย่อมหมายถึงการที่ผู้ฟ้องคดีได้รู้และทราบในข้อเท็จจริงที่ว่า คำขอไปปฏิบัติงาน ของผู้ฟ้องคดีได้ถูกยกเลิกแล้ว
และผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องกลับไปปฏิบัติราชการที่มหาวิทยาลัยฯ ดังเดิม ซึ่งตามรายงานการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแจ้งคำสั่งยกเลิกการขออนุมัติไปปฏิบัติงานฯ ให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ตลอดจนไม่ปรากฏพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้ฟ้องคดีซึ่งได้กระทำขึ้นภายหลังมหาวิทยาลัยฯ ยกเลิกคำขออนุมัติไปปฏิบัติงานฯ อันจะอนุมานพฤติการณ์และนำมาวินิจฉัยความผิดวินัยได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รู้และทราบเรื่องดังกล่าว และรู้ถึงหน้าที่ที่ต้องกลับไปปฏิบัติราชการที่มหาวิทยาลัยฯ ดังเดิม แต่ก็ยัง “จงใจ” ฝ่าฝืนไม่ยอมกลับไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
ดังนั้นการที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้กลับมาปฏิบัติราชการประจำตามหนังสือแจ้งของหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์และคณบดีคณะศิลปศาสตร์ดังกล่าว จึงเป็นพฤติการณ์ที่มีเหตุผลตามสมควร และถือไม่ได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์จงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ และละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อ ในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ที่อธิการบดีฯ จะนำมาเป็นเหตุออกคำสั่งลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีได้
ดังนั้น คำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หากในช่วงระยะเวลาภายหลังวันที่รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมีคำสั่งยกเลิกการขออนุมัติลาไปปฏิบัติงานภายในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ฟ้องคดียังคงไม่มาปฏิบัติราชการ และอธิการบดีฯ เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีการกระทำที่เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันในช่วงเวลาดังกล่าว อันเป็นพฤติกรรม ที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังการดำเนินการสอบสวนและการลงโทษในคดีนี้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะไปพิจารณาดำเนินการตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป