posttoday

ดีเอสไอพบอีกเช็คกว่า400ล. คดีคลองจั่นโอนวัด-ธัมมชโย

21 มิถุนายน 2559

ดีเอสไอพบอีกเช็ค 7 ฉบับกว่า 400 ล้านบาท คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโอนเข้าวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย ขณะที่ปธ.แผนฟื้นฟูฯเผย30 มิ.ย.จ่ายเงินคืนสมาชิกครั้งแรก3.76% ของมูลหนี้กว่า 18,000 ล้านบาท

ดีเอสไอพบอีกเช็ค 7 ฉบับกว่า 400 ล้านบาท คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโอนเข้าวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย ขณะที่ปธ.แผนฟื้นฟูฯเผย30 มิ.ย.จ่ายเงินคืนสมาชิกครั้งแรก3.76% ของมูลหนี้กว่า 18,000 ล้านบาท

วันที่ 21 มิ.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายประกิต พิลังกาสา ประธานกรรมการบริหารลูกหนี้และผู้ทำแผนฟื้นฟูสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจำกัดเดินทางเข้าพบกับพ.ต.ท.สมบูรณ์  สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ และพ.ต.ท.ปกรณ์  สุชีวกุล  ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร เพื่อรับมอบเช็คที่ดีเอสไอตรวจพบเพิ่มเติมในคดีฟอกเงิน 

พ.ต.ท.สมบูรณ์  กล่าวว่า วันนี้ ตัวแทนสหกรณ์ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับคดีที่สหกรณ์เป็นผู้เสียหายและกรณีที่พนักงานสอบสวนตรวจพบเช็คสั่งจ่ายให้วัดพระธรรมกายและพระธัมมโยเพิ่มเติม เพื่อส่งมอบให้สหกรณ์นำไปฟ้องแพ่งเรียกเงินคืน  โดยยืนยันว่าจากพยานหลักฐานก่อนหน้านี้มีน้ำหนักเพียงพอในการสั่งฟ้องคดีฟอกเงินกับผู้เกี่ยวข้อง  อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีที่สรุปสำนวนสั่งฟ้องไปแล้วคดีแรกต้องรออัยการมีความเห็นในวันที่ 13 ก.ค.นี้  ซึ่งพนักงานสอบสวนยังเดินหน้าติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งมีอายุความ 15 ปี  และขออย่ากังวลกรณีที่ไม่ได้ตัวผู้ต้องหามาสั่งฟ้อง  เพราะอัยการสามารถสั่งสำนวนในส่วนที่มีผู้ต้องหาก่อนได้  ส่วนที่เหลือหากได้ตัวค่อยสั่งฟ้องเพิ่ม

ด้านพ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินก่อนหน้านี้จะพบว่ามีเช็คสั่งจ่ายให้พระและเครือข่ายวัดกว่า 600 ล้านบาท แต่ต่อมาพบเพิ่มขึ้นรวมกว่า 1,200 ล้านบาท  อย่างไรก็ตาม ล่าสุดพนักงานสอบสวนตรวจสอบพบเช็คเพิ่มเติมอีก 7 ฉบับ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท  ดังนั้น ยอดเงินที่มีการแจ้งข้อกล่าวในคดีดังกล่าวจึงมีจำนวน 1,458 ล้านบาท  จากเช็ครวม 27 ฉบับ   อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาดีเอสไอเคยประสานขอข้อมูลจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เพื่อขอทราบว่าพื้นที่ภายในวัดพระธรรมกายว่ามีพื้นที่ส่วนใดเป็นธรณีสงฆ์ส่วนใดเป็นของมูลนิธิ แต่ยังไม่ได้รับข้อมูล นอกจากนี้ดีเอสไอยังมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินที่รับบริจาคมาอย่างละเอียดโดยธุรกรรมการเงินระบุชัดว่าเงินแต่ละก้อนถูกนำไปใช้ในกิจการใดบ้าง

ขณะที่นายประกิต กล่าวว่า  ก่อนหน้านี้สหกรณ์ได้ทำการฟ้องแพ่งและทำสัญญาประนอมหนี้กับวัดพระธรรมกายแล้วประมาณ 20 ฉบับ  แบ่งเป็น 2 ชุด  ชุดแรกกว่า 10 ฉบับ วงเงิน 684 ล้านบาท  และชุดที่ 2 อีก 18 ฉบับ วงเงิน 370 ล้านบาท   ในส่วนของชุดแรกได้รับเงินครบแล้ว  ส่วนชุดที่ 2 ได้นำเช็คงวดแรกไปขึ้นเงินแล้ว 20 ล้านบาท เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เหลืออีก 350 ล้านบาท จะทยอยจ่ายคืนทุกเดือน  ซึ่งเช็คทั้งหมดสามารถขึ้นเงินได้ปกติยังไม่พบว่ามีปัญหา  โดยทราบว่าเงินที่นำมาชำระคืนนั้นเป็นเงินของกองทุนศิษย์ ไม่ใช่เงินของวัดหรือพระ สำหรับเช็คที่ดีเอสไอตรวจพบเพิ่มอีก 7 ฉบับ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท สหกรณ์จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะยังไม่เห็นตัวเช็ค

นายประกิต กล่าวอีกว่า ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้  สหกรณ์เตรียมจ่ายเงินคืนให้สมาชิกเป็นครั้งแรกหลังไม่สามารถเบิกเงินได้มานานกว่า 3 ปี โดยการจ่ายเงินเป็นไปตามแผนฟื้นฟูที่กำหนดให้ต้องทยอยจ่ายคืนปีละ 2 ครั้ง  ซึ่งกำหนดจะจ่ายครั้งแรก 3.76% ของมูลหนี้กว่า 18,000 ล้านบาท ตั้งวงเงินไว้กว่า 600 ล้านบาท   สำหรับการจ่ายเงินจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม  กลุ่มแรกคือสมาชิกหลัก  จำนวนกว่า 5,000 ราย กลุ่มดังกล่าวจะจ่ายในจำนวน 3.76 % ของมูลหนี้ และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มฝากเงินไม่เกิน 10,000 บาท มีประมาณ 13,000 ราย จะจ่ายคืนทั้งหมด  และกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มสหกรณ์  รวม 74 สหกรณ์ จะจ่ายเท่ากลุ่มสมาชิกหลักคือ 3.76 %   จากนี้จะกำหนดจ่ายคืนอีกครั้งในเดือนธ.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ ( 21 มิ.ย.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้ส่งคณะทำงานเข้าหารือกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อดำเนินการทางแพ่งกับทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายและพระธัมมโย โดยระบุว่าเป็นรายละเอียดในสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้   ทั้งนี้ พล.ต.อ.ศรีวราห์  รังสิพรามหมณ์กุล  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ยังได้เดินทางเข้าพบกับพ.ต.อ.ไพสิฐ  วงศ์เมือง  อธิบดีดีเอสไอ  เพื่อหารือแผนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับด้วย