ทุนจีนรุกเซ้งวัดดัง ลุยกินรวบพุทธพาณิชย์
โดย...วุฒิ นนทฤทธิ์
โดย...วุฒิ นนทฤทธิ์
ทัวร์จีนที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับคนไทยในเวลานี้ หากคิดจะแก้ไขปัญหาให้ถูกจุดรัฐบาลโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร จะต้องแยกแยะให้ออกระหว่างนักท่องเที่ยว ทัวร์จีน และทุนจีน เพราะประเทศไทยโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยวจนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก กอบโกยเงินตราต่างประเทศเข้ามาอย่างเป็นกอบเป็นกำ ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวกลายเป็นรายได้หลักของประเทศตลอดมา เราจึงต้องเข้าใจให้ถ่องแท้
คำว่านักท่องเที่ยวซึ่งหมายถึงผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือนักท่องเที่ยวชาติใดก็ตาม ย่อมมีปัญหาเฉพาะตัวเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย เยอรมัน ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกัน ฯลฯ ก็ตาม ซึ่งหากบอกว่านักท่องเที่ยวชาวจีนด้อยคุณภาพกว่านักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ก็ไม่จริงเสมอไป นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะชาติใดก็คือนักท่องเที่ยว แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่หน่วยงานที่รับผิดชอบของไทยต่างหาก ที่มีประสิทธิภาพในการกำกับดูแลนักท่องเที่ยวเหล่านี้อย่างไร มีการให้ข้อมูลหรือให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเหล่านั้นก่อนที่จะเดินทางมาประเทศไทยหรือไม่ และเมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านั้นเดินทางมาถึงประเทศไทย เราได้มีมาตรการในการดำเนินการอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ นานา ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นหากรัฐบาลมีการวางแผนที่ดีและมีการบูรณาการอย่างเป็นระบบ ปัญหาที่เกิดจากนักท่องเที่ยวก็จะลดลงอย่างมาก
แต่ปัญหาใหญ่ที่รัฐจะต้องรีบเข้าไปแก้ไขก็คือ ทัวร์จีน ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทั้งจากประเทศจีนและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไทย ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยเห็นกับเศษเงินยอมเป็นนอมินีให้กับทัวร์จีน เบียดบังผลประโยชน์ที่คนไทยควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเป็นของทัวร์จีน ซึ่งวันนี้มีอยู่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง แต่รัฐไทยกลับปล่อยปละละเลยไม่สนใจที่จะดูแลเอาใจใส่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้กับคนไทย บางส่วนกลับไปร่วมมือกับทัวร์จีนเพื่อแสวงหาประโยชน์ใส่ตัว จนทำให้ผู้ประกอบการของไทยเดือดร้อนกันทั่วหน้า ทั้งที่ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา ฯลฯ
ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ล่าสุดเหตุเกิดที่ จ.ภูเก็ต นายทุนจีนซึ่งหากินอยู่กับกลุ่มทัวร์จีน รุกเข้าไปทำสัญญาลักษณะขอสัมปทานกับวัดบางแห่งเพื่อขอสิทธิในการบริหารพื้นที่เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากประชาชนที่เข้าไปเที่ยวชมหรือประกอบศาสนกิจในวัดดังหลายแห่ง โดยทุนจีนจะอาศัยคนไทยที่เห็นแก่ได้ยอมเป็นนอมินีให้กับทุนจีน เข้าไปทำสัญญาเช่าสถานที่ภายในวัด ขณะที่วัดชื่อดังเหล่านั้นก็คงเป็นเพราะอยากได้เงินเยอะๆ แต่ไม่อยากบริหารด้วยตัวเอง ก็จะมอบหมายให้ฆราวาสมาเป็นตัวแทนทำสัญญากับคนไทยที่เป็นนอมินีทุนจีน
ตัวอย่างเช่นวัดแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ซึ่งอยู่ในย่านหาดชื่อดังที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปพักผ่อนแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ได้ทำสัญญาตกลงให้เช่าอาคารของวิหารหลวงพ่อ... เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในวัด และให้ผู้เช่า(ทุนจีน) จำหน่ายวัตถุมงคลและของที่ระลึกแต่เพียงผู้เดียว เป็นระยะเวลา 3 ปี และเมื่อครบสัญญาสามารถต่อสัญญาได้อีก ผมเห็นเอกสารแล้วแทบจะเป็นลม แต่ต้องขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้มีความรู้เรื่องพุทธพาณิชย์ ไม่รู้ว่าวัดอื่นในประเทศไทยมีการทำอย่างนี้หรือไม่ แต่ไม่อยากเชื่อว่าวัดไทยซึ่งเป็นสมบัติของคนไทย แต่กลับไปเปิดช่องให้ชาวต่างชาติมาแสวงหาประโยชน์ ที่สำคัญจะทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าหรือวัตถุมงคลที่นำมาจำหน่ายนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณภาพหรือไม่ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในศาสนสถานของประเทศไทย
ถึงแม้ในสัญญาจะระบุว่า ผู้เช่าจะไม่เอาพื้นที่ไปเซ้งต่อหรือแบ่งซอยพื้นที่ให้คนอื่นเช่า รวมทั้งจะเทคอนกรีตลานจอดรถ ปรับปรุงห้องน้ำ ทำสถานที่เก็บขยะ แถมใจดีจะออกค่าน้ำค่าไฟของวัดให้ทั้งหมด ประมาณว่าเชิญทั้งพระและฆราวาสที่อาศัยอยู่ในวัดใช้น้ำใช้ไฟกันได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งจะสร้างศาลพระพรหมที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมกราบไหว้เอาไว้บริเวณข้างวิหารฟรีๆ อีกด้วย ใจดีแบบนี้แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว
ไม่ทราบว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ส่งเสริม ดูแล รักษา และทํานุบํารุงศาสนสถานและศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา เคยได้รับทราบปัญหาเหล่านี้หรือไม่
ทุกวันนี้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยก็แทบจะกระอักเลือดอยู่แล้ว เพราะทัวร์จีนไม่ยอมให้เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวจีนกระเด็นออกมาเข้ากระเป๋าคนไทยแม้แต่หยวนเดียว รัฐไทยก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ตอนนี้ “ทุนจีน” ได้รุกคืบเข้ามายึดครองศาสนสถานของไทย เพื่อร่วมมือกับ “ทัวร์จีน” ในการกอบโกยผลประโยชน์จากแผ่นดินไทย
น่าอนาถใจจริง...!