posttoday

ตีแผ่เรื่องช็อก!เมื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินตก ต้องกิน"ศพเพื่อน"เพื่อประทังชีวิต

26 กุมภาพันธ์ 2559

ตีแผ่เรื่องช็อกของเหยื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินตกเมื่อปี 1972 ความรู้สึกเมื่อต้องกิน"ศพเพื่อน"เป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต

ตีแผ่เรื่องช็อกของเหยื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินตกเมื่อปี 1972 ความรู้สึกเมื่อต้องกิน"ศพเพื่อน"เป็นอาหารเพื่อประทังชีวิต

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. เว็บไซต์ข่าว'อินดิเพนเดนซ์'ได้ตีแผ่หนึ่งประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือนของเหยื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินโดยสารนักกีฬาทีมรักบี้อุรุกวัยที่ประสบอุบัติเหตุตกลงบนเทือกเขาแห่งหนึ่งในอาร์เจนตินาเมื่อศุกร์ที่ 13 ต.ค. 1972

'โรเบิร์ทโต คาเนสซ่า'อดีตนักรักบี้และนักศึกษาเภสัชศาสตร์ซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปีได้เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นบนเครื่องบินที่มีผู้คนจำนวนกว่า 45 ชีวิตได้สังสรรค์กันอย่างสนุกสนานระหว่างที่กำลังเดินทางไปที่ชิลีเพื่อทำการแข่งขัน แต่จู่ๆ เครื่องบินก็ตกและดำดิ่งลงสู่เบื้องล่างที่เป็นภูเขาหิมะ

เขาคิดว่าเขาต้องตายอย่างแน่นอน จึงรอระเบิดลูกสุดท้ายเพื่อส่งเขาไปสู่สุคติ แต่ก็ไม่ระเบิด เขาพบว่าเขายังคงหายใจและมีชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บพร้อมเพื่อนๆ อีก 27 ชีวิตที่จำนวนค่อยๆ ลดลงตามวันเวลา

ตีแผ่เรื่องช็อก!เมื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินตก ต้องกิน\"ศพเพื่อน\"เพื่อประทังชีวิต

"เป้าหมายของเราคือมีชีวิตรอด แต่สิ่งที่เราขาดคือ'อาหาร'ซึ่งไม่เหลือแล้วในเครื่องบิน บริเวณนั้นก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือพืชใดๆ เลย จนเราเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

เราทุกคนล้วนรู้คำตอบในใจดี แต่มันน่ากลัวเกินกว่าจะทำได้ลง

ศพของเพื่อนๆ ของเราได้ถูกฝังอยู่ในหิมะ ซึ่งพอจะเป็นอาหารให้เราประทังชีวิตรอดไปได้ ...แต่เราจะกินเพื่อนตัวเองลงได้หรือ?

ด้วยความหิวโหย ทุกๆ คนต่างรอคอยให้ใครสักคนทำอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยแล้วรอความตายมาเยือนอย่างช้าๆ

แต่ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ..."

นายคาเนสซ่าได้เริ่มนำศพที่เพิ่งเสียชีวิตมาหั่นและรับประทานเป็นอาหาร "สิ่งนั้นเป็นฝันร้ายที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้" แต่เขาไม่มีทางเลือกใด นอกจากกินซากศพเพื่อนเป็นอาหารด้วยความรู้สึกเจ็บปวดภายในเช่นเดียวกับเพื่อนๆ คนอื่นที่ยังชีวิตอยู่

ตีแผ่เรื่องช็อก!เมื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินตก ต้องกิน\"ศพเพื่อน\"เพื่อประทังชีวิต

วันที่ 17 พ.ย. พวกเขาได้ค้นพบกับแบตเตอร์รี่ซึ่งกลายเป็นแสงแห่งความหวังให้พวกเขาสามารถซ่อมวิทยุเครื่องบินให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้งซึ่งสุดท้ายแล้วแม้จะพยายามเพียงใดพวกเขาก็ได้ยินแต่คลื่นสัญญาณที่จับเป็นประโยคคำพูดไม่ได้จนกระทั่งวันที่ 8 ธ.ค. พวกเขาได้ยินเสียงตอบรับเป็นครั้งแรก

72 วันบนเทือกเขาที่หนาวเหน็บ ในที่สุดพวกเขาทั้ง 16 คนก็ได้รับการช่วยเหลือเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 1972

นายคาเนสซ่าได้เล่าความจริงทุกอย่าง ซึ่งโชคดีที่พวกเหล่านั้นทั้งครอบครัวของเขาเองและครอบครัวของผู้เสียชีวิตเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด

เขาได้กล่าวว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้เขามีชีวิตอยู่คือเพื่อกลับบ้านไปหาครอบครัว ทำให้เขามีกำลังใจสู้ต่อ "ไม่สำคัญว่าคุณจะมีชีวิตรอดอย่างไร แต่สำคัญที่คุณจะมีชีวิตอยู่รอดเพื่ออะไร"

ปัจจุบันนายคาเนสซ่าประกอบอาชีพเป็นแพทย์หัวใจเด็ก และได้มีโอกาสส่งมอบสิ่งดีๆ แก่คนไข้เด็กทั้งหลาย เพื่อทดแทนต่อสิ่งที่เขาเคยได้รับ

ที่มา independent, people

ตีแผ่เรื่องช็อก!เมื่อผู้รอดชีวิตเครื่องบินตก ต้องกิน\"ศพเพื่อน\"เพื่อประทังชีวิต