ผู้ให้กำเนิด "บิตคอยน์" เผยตัวตนแล้ว
นักธุรกิจชาวออสเตรเลียออกมาเปิดเผยตัวว่าเป็นผู้บุกเบิก "บิตคอยน์" และจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ภายใต้นามแฝงเป็นชื่อญี่ปุ่น
นักธุรกิจชาวออสเตรเลียออกมาเปิดเผยตัวว่าเป็นผู้บุกเบิก "บิตคอยน์" และจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ภายใต้นามแฝงเป็นชื่อญี่ปุ่น
ในที่สุดปริศนาที่ค้างคาใจชาวโลกโซเชียลมานานก็ได้รับการเปิดเผย เมื่อนักธุรกิจชาวออสเตรเลียที่ชื่อ เครก สตีฟ ไรท์ ยอมรับว่า เขาคือผู้บุกเบิกเงินตราดิจิทัล หรือบิตคอยน์ (Bitcoin) และจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์นี้ภายใต้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโต แต่ตัวตนของนักประดิษฐ์รายนี้ก่อให้เกิดข้อสงสัยมาโดยตลอด เช่นเดียวกับการใช้บิตคอยน์ที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงที่รุนแรงไม่แพ้กัน เพราะมีทั้งผู้ที่มองว่าเป็นการปฏิวัติการใช้จ่ายในโลกออนไลน์ และมองว่าเป็นการใช้จ่ายนอกระบบเศรษฐกิจและไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลหลายๆ ประเทศ
เมื่อปี 2009 เครก สตีฟ ไรท์ ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตเปิดตัวซอฟท์แวร์บิตคอยน์เป็นครั้งแรก นับจากนั้นตัวตนของชายผู้นี้ก็เป็นที่กล่าวถึงและเป็นเป้าหมายการค้นหามาโดยตลอด จากข้อมูลที่เขาให้ไว้กับองค์กรเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี P2P Foundation เมื่อปี 2012 ระบุว่า เขาเป็นชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ ซาโตชิ นากาโมโต อายุ 37 ปีในขณะนั้น และอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีเยี่ยม อีกทั้งยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบิตคอยน์ในภาษาญี่ปุ่น ทำให้คนกลุ่มนี้เชื่อว่า ซาโตชิ นากาโมโตไม่น่าจะใช่คนญี่ปุ่น หรือแม้แต่ตัวจริงๆ ของผู้คิดค้นเงินตราออนไลน์
หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนและนักวิชาการพยายามแกะรอยตัวตนและที่อยู่ของ ซาโตชิ นากาโมโตเรื่อยมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งยังชี้ตัวผิดพลาดมาโดยตลอด เช่น ระบุว่าเขาน่าจะเป็นนักวิจัยด้านไอทีชั้นแนวหน้าของโลกในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หรือเป็นบุคคลธรรมดาที่มีความหลงใหลในงานด้านคณิตศาสตร์และไอที แต่การอ้างชื่อบุคคลเหล่านี้ผิดพลาดทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าซาโตชิ นากาโมโตใช้คำสบถในภาษาอังกฤษแบบที่ใช้กันในสหราชอาณาจักรหรือในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เช่น ออสเตรเลีย
และแล้วการตามล่าเจ้าพ่อบิตคอยน์ก็เริ่มใกล้ความจริงยิ่งขึ้น เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว นิตยสารไวร์ด (Wired) และเว็บไซต์ Gizmodo ระบุว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังบิตคอยน์น่าจะเป็นชายชาวออสเตรเลียที่ชื่อ เครก สตีฟ ไรท์ นักธุรกิจและอดีตนักวิจัยด้านไอที แต่หลังจากเป็นข่าวไรท์ได้ปิดทวิตเตอร์ส่วนตัวและไม่ยอมให้ข่าวกับสื่อมวลชน
อย่างไรก็ดี เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการรายงานข่าวของ Wired ตำรวจออสเตรเลียเข้าบุกค้นบ้านของไรท์ในเมืองกอร์ดอน และที่ทำงานของเขาในเมืองไรด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ โดยตำรวจให้เหตุผลว่าได้รับการร้องขอจากสำนักงานสรรพากร
จนกระทั่งวานนี้ ไรท์ก็ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า เขาคือซาโตชิ นากาโมโต ผู้ประดิษฐ์บิตคอยน์จริง โดยเปิดเผยเรื่องนี้กับสำนักข่าวบีบีซี นิตยสารรดิอีโคโนมิสต์ และนิตยสารจีคิว ทั้งนี้ เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวตนตั้งแต่แรก แต่ที่ต้องทำไปก็เพื่อยุติการเผยแพร่ข้อมูลที่สับสน นอกจากนี้ เขายังไม่หวังที่จะได้รับชื่อเสียงหรือเงินแม่แต่แดงเดียวจากการเปิดเผยตัวตน
ไรท์ระบุว่า เขาต้องคิดหนักก่อนที่จะตัดสินใจเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะและต้องการให้เกิดความชัดเจนขึ้นเพราะเขารักในงานที่ทำอยู่ และไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเล่าลือหรือกระแสความหวาดกลัวในทางลบ
หลังจากนี้ ไรท์จะเปิดเผยงานวิจัยเชิงวิชาการเพื่อให้สาธาณชนได้เข้าใจและตระหนักในศักยภาพของบิตคอยน์มากยิ่งขึ้น เพราะเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าบิตคอยน์และบล็อกเชน (Blockchain เครือข่ายข้อมูลธุรกรรมออนไลน์) จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ดียิ่งขึ้น
แม้ไรท์จะเปิดเผยวิดีโอการเปิดตัวบิตคอยน์เข้าสู่ระบบออนไลน์เมื่อปี 2009 ให้สื่อได้ชมเป็นขวัญตา สื่อชั้นนำที่เปิดเผยเรื่องราวของเขาย้ำว่า หลังจากนี้จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปอีกหลายขั้นตอน เพื่อที่จะยืนยันว่าเขาผู้นี้คือผู้สร้างเงินตราแห่งโลกอนาคตจริงๆ
บิตคอยน์คืออะไร?
บิตคอยน์ (Bitcoin) คือเงินตราดิจิทัล มีระบบการชำระเงินแบบเพียร์ทูเพียร์ Peer-to-Peer หรือ P2P คือ การทำกิจกรรมผ่านเครือข่ายที่มีความเท่าเทียมกันโดยไม่มีเซิร์ฟเวอร์ และการทำธุรกิจสามารถทำได้โดยตรงระหว่างผู้ใช้เครือข่ายโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง โดยมี Bitcoin Wallet เป็นเสมือนสมุดบัญชีธนาคาร Blockchain คือไฟล์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลการฝากถอนเงินของทุกๆ คน และ Bitcoin คือธนบัตร
บิตคอยน์เกิดขึ้นจากการทำ Mining หรือขุดเงิน เช่น เมื่อมีธุรกรรมการโอนเงินเกิดขึ้น ธุรกรรมนั้นจะต้องได้รับการตรวจสอบและยืนยันโดยเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่นั้นจะได้รับค่าตอบแทนในการทำงานงานเป็นค่าเงินบิตคอยน์ ในลักษณะคล้ายกับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม แต่เป็นค่าธรรมเนียมที่ทุกคนสามารถได้รับหากทำหน้าที่เป็น Miners และยังสามารถแลกเงินบิตคอยน์เป็นสกุลเงินจริงๆ ของประเทศต่างๆ ได้ด้วย
ด้วยความที่ธุรกรรมของบิตคอยน์ขึ้นกับหน่วยงานรัฐบาลและมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าการชำระเงินผ่านระบบธนาคาร ทำให้ถูกเพ่งเล็งจากหลายประเทศและมีการสั่งห้ามใช้เงินออนไลน์สกุลนี้รวมถึงไทย แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่ถูกเพ่งเล็งและถูกแบน เพราะอาจมีผู้เก็งกำไรค่าเงินจริงจากระบบนี้และอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพล้วงข้อมูลจากระบบได้
ที่มา www.m2fnews.com
ภาพ - http://www.drcraigwright.net/, เอเอฟพี