ส่องค่าไฟฟ้าประเทศไทยถูกหรือแพงกว่าเพื่อนบ้าน
globalpetrolprices กางตัวเลขค่าไฟฟ้าประเทศกลุ่มอาเซียน มาเลเซีย มีค่าไฟต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 1.8 บาท ตามมาด้วย เวียดนาม 2.4 บาท อินโดนีเซีย 3 บาท ประเทศไทย 3.9 บาท ฟิลิปปินส์ 5.7 บาท และสิงคโปร์ 5.7 บาท
globalpetrolprices กางตัวเลขค่าไฟฟ้าประเทศกลุ่มอาเซียน มาเลเซีย มีค่าไฟต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 1.8 บาท ตามมาด้วย เวียดนาม 2.4 บาท อินโดนีเซีย 3 บาท ประเทศไทย 3.9 บาท ฟิลิปปินส์ 5.7 บาท และสิงคโปร์ 5.7 บาท
ไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัลทุกวันนี้ ทำให้ "ค่าไฟฟ้า" เป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคนยิ่งกว่าที่คิด เพราะแต่ละบ้านต่างก็มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทใหม่ๆ หลากหลายมาให้ใช้งานกันแบบแทบตลอด 24 ชั่วโมง และอุปกรณ์เหล่านั้นล้วนต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน แต่ที่น่าสนใจก็คือ แม้หลายๆ ครัวเรือนจะเห็นตัวเลขค่าไฟเพิ่มขึ้น
แต่หากลองคำนวณโดยเทียบกับจำนวนหน่วยในการใช้ไฟแล้ว ก็จะเห็นว่าในบางช่วงค่าไฟต่อหน่วยไม่ได้ปรับขึ้นเลย หรือในบางช่วงที่ประเทศไทยมีตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดพุ่งขึ้นมากเป็นพิเศษ ค่าไฟต่อหน่วยก็อาจขยับเล็กน้อยในหลักจุดทศนิยมเท่านั้น ซึ่งยังถือว่า "ตามหลัง" ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทยที่แนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง เมื่อดูจากสถิติรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าบางปีสูงขึ้นเกือบแตะ 10% เลยทีเดียว
ปัจจุบัน เมื่อเทียบในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะในประเทศที่ค่อนข้างมีบทบาททางเศรษฐกิจในเชิงรุก อัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทย จัดอยู่ในระดับกลางๆ แต่ที่น่าสนใจก็คือ หากดูรายชื่อประเทศที่มีค่าไฟต่ำกว่าไทยแล้ว จะพบว่ายังพึ่งพาถ่านหิน เป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนต่ำสุดเมื่อเทียบกับแหล่งเชื้อเพลิงประเภทอื่น
ขณะที่ ภาคการผลิตพลังงานของประเทศไทยนั้น ส่งสัญญาณชัดเจนในการมุ่งสู่พลังงานสะอาด จากแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ๆ ได้แก่ พลังแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ หรือพลังงานจากชีวมวล (ไบโอแมส) เป็นต้น
เว็บไซต์ https://www.globalpetrolprices.com ได้เผยแพร่ข้อมูลค่าไฟฟ้าของประเทศต่างๆ ณ เดือนมีนาคม 2562 โดยในส่วนของอาเซียน มาเลเซีย มีค่าไฟต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 1.8 บาท ตามมาด้วย เวียดนาม 2.4 บาท อินโดนีเซีย 3 บาท ประเทศไทย 3.9 บาท ฟิลิปปินส์ 5.7 บาท และสิงคโปร์ 5.7 บาท
โดยเว็บไซต์นี้ระบุสถานะที่น่าสนใจของประเทศไทยด้วยว่า สามารถสร้างรายได้จากค่าไฟฟ้าควบคู่กับการคงอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในระดับต่ำได้
ขณะที่ เวียดนามและอินโดนีเซีย ยังคงมีแหล่งถ่านหินสำรองอย่างเหลือเฟือ และใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงอันดับ 1 สำหรับการผลิตไฟฟ้า อีกทั้งเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาด้านเศรษฐกิจ มีความต้องการใช้พลังงานในระดับสูงเพื่อตอบรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังเมีการปิดเผยตัวเลขค่าไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ญี่ปุ่น 8.4 ขยับเพิ่มขึ้นจาก 6.6 บาทที่เว็บไซต์ www.statista.com เคยประมาณการณ์ไว้ ออสเตรเลีย 7.5 บาท และเกาหลีใต้ 3.3 บาท โดยส่วนหนึ่งมาจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลที่จะประคองอัตราค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือกระตุ้นการเติบโตด้านเศรษฐกิจ
ทางด้านข้อมูลจาก Statista แสดงค่าไฟที่ประเทศในกลุ่มผู้นำเศรษฐกิจทั่วโลกจัดเก็บอยู่ในปี 2561 โดยสหรัฐอเมริกา ค่าไฟต่อกิโลวัตต์/ชั่วโมง อยู่ที่ 3.9 บาท แต่ปีนี้ขยับมาเป็น 4.2 บาท อังกฤษ อยู่ที่ 6.6 บาท ขณะที่ มีตัวเลขล่าสุดของปีนี้ขยับขึ้นมาเป็น 7.5 บาท
พร้อมทั้งระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน และแม้แต่ในประเทศเดียวกัน ส่วนหนึ่งมาจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสภาพทางภูมิศาสตร์ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ปัจจุบัน สวีเดน เป็นประเทศที่ประชาชนจ่ายค่าไฟต่ำสุดในโลกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คือ 6 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ขณะที่ เยอรมนี กลับรั้งตำแหน่งประเทศที่มีค่าไฟแพงสุดในโลก ด้วยอัตรา 9.9 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
นอกจากนี้ เชื้อเพลิง ที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของการตั้งราคาค่าไฟ ยกตัวอย่าง ประเทศอิตาลี ซึ่งจัดเก็บค่าไฟค่อนข้างแพง (8.1 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ประเทศนี้มีข้อจำกัดในเรื่องการตั้งโรงไฟฟ้าทางเลือกอย่างนิวเคลียร์ เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง (seismically active area)
ดังนั้น หลังเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด เมื่อปี 2529 จึงมีการปิดโรงงานนิวเคลียร์ในแถบนี้ทั้งหมด ดังนั้นแหล่งเชื้อเพลิงหลักจึงมาจาก ก๊าซธรรมชาติ พลังงานหมุนเวียน ปิโตรเลียม และถ่านหิน ซึ่งแม้ว่าอิตาลี จะมีแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติใหญ่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป แต่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของค่าไฟฟ้าแพง
ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รายงานตัวเลขการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 ว่ามีกำลังการผลิตรวมทั้งระบบ 44,443 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วนที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. เอง 32.92% หรือคิดเป็นประมาณ 14,629 เมกะวัตต์ ที่เหลือแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าเอกชนทั้งรายเล็กและรายใหญ่ 55.01% รวมกำลังการผลิต 24,446.82 เมกะวัตต์ และอีก 12.07% หรือ 5,366.60 เมกะวัตต์ เป็นการนำเข้าจากนอกประเทศ
ขณะที่ ตัวเลขความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 30,853.20 เมกะวัตต์ เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม และเป็นที่น่าสังเกตว่าตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงแทบทุกเดือนอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าประมาณการที่จัดทำไว้ค่อนข้างมาก