ChatGPT เปิดตัวฟีเจอร์ "Deep Research" เสมือนมีนักวิจัย AI ส่วนตัว
ChatGPT Pro ได้ฤกษ์เปิดตัวเครื่องมือใหม่ล่าสุด Deep Research ที่เปรียบเสมือนมีนักวิจัย AI ส่วนตัวคอยช่วยเหลือผู้ใช้งานในการค้นหาข้อมูลเชิงลึก
OpenAI เผยว่า Deep Research เป็นฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดของ ChatGPT ที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ โดย "วางแผนและดำเนินงานตามขั้นตอนที่หลากหลายเพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการ พร้อมความสามารถในการปรับเปลี่ยนและตอบสนองต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์"
สิ่งที่พิเศษคือ Deep Research ไม่ได้สร้างแค่ข้อความสรุป แต่ยังแสดงขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดในแถบด้านข้าง พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มาและสรุปกระบวนการทำงานทั้งหมด ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบที่มาและความถูกต้องของข้อมูลได้
ผู้ใช้สามารถป้อนคำถามโดยใช้ข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์ต่างๆ เช่น PDF หรือสเปรดชีต เพื่อให้ ChatGPT เข้าใจบริบทของคำถามได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นระบบจะใช้เวลา "5 ถึง 30 นาที" ในการประมวลผลและสร้างคำตอบ ซึ่งจะปรากฏในหน้าต่างแชท และในอนาคต OpenAI สัญญาว่าจะเพิ่มความสามารถในการฝังรูปภาพและแผนภูมิลงในคำตอบได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม OpenAI ก็ได้กล่าวถึงข้อจำกัดของ Deep Research ว่า "บางครั้ง AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องขึ้นเองและอาจมีปัญหาในการแยกแยะข้อมูลที่น่าเชื่อถือออกจากกระแสข่าวลือ รวมถึงการประเมินความน่าเชื่อถือของคำตอบ"
การพัฒนาเครื่องมือ AI ให้มีความสามารถที่หลากหลายและคุ้มค่าต่อการใช้งาน ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทต่างๆ เช่น OpenAI และ Deep Research ก็เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย OpenAI อ้างว่า Deep Research มีความสามารถในการทำงานเทียบเท่ากับนักวิเคราะห์ข้อมูล
วิดีโอสาธิตการใช้งาน Deep Research เริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมค้าปลีกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งระบบสามารถสรุปข้อมูลออกมาเป็นประเด็นและตารางได้อย่างน่าสนใจ
ฟีเจอร์นี้เปิดตัวหลังจาก OpenAI ได้เปิดตัว Operator ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้เว็บเบราว์เซอร์เพื่อทำงานต่างๆ ให้ผู้ใช้ได้ และมีความคล้ายคลึงกับ Project Mariner ซึ่งเป็นเครื่องมือวิจัยต้นแบบของ Google ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคม
OpenAI ให้สิทธิ์การใช้งาน Deep Research 100 คำค้นหาต่อเดือนสำหรับผู้ที่สมัคร ChatGPT Pro ในราคา 200 ดอลลาร์ต่อเดือน และสัญญาว่าจะเปิดให้ผู้ใช้ Plus, Team และ Enterprise ได้ใช้งานในอนาคต โดย OpenAI ให้เหตุผลว่า Deep Research "ต้องใช้การประมวลผลจำนวนมาก" และยิ่งใช้เวลาในการค้นหานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้การประมวลผลมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ OpenAI ยังกล่าวว่าผู้ใช้ที่ชำระเงินทั้งหมดจะได้รับการเพิ่มโควต้าการใช้งานในอนาคต เมื่อมีเวอร์ชั่นที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า
จากแถลงการณ์ของ OpenAI โมเดลที่ขับเคลื่อน Deep Research ได้คะแนนความแม่นยำสูงสุดใหม่ในการทดสอบ AI ที่เรียกว่า "Humanity's Last Exam" ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถในการตอบคำถามเชิงลึกในระดับผู้เชี่ยวชาญ โดย Deep Research ทำคะแนนได้ 26.6% เมื่อเปิดใช้งานเครื่องมือการเรียกดูและ Python ซึ่งสูงกว่า GPT-4o ที่ทำได้ 3.3% อย่างมีนัยสำคัญ และสูงกว่าผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดรายถัดไปอย่าง o3-mini (high) ที่ทำได้ 13%