IBM ชี้โอกาสทองธุรกิจ 2025 ใช้ AI เจาะลึกข้อมูล สร้างความได้เปรียบ
Juhi McClelland กรรมการผู้จัดการ IBM ชี้ ปี 2025 ธุรกิจใช้ประโยชน์จาก AI แค่ 1% นับเป็นโอกาสทองสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ
ในงานสัมมนา "กรุงเทพธุรกิจ AI Revolution 2025 : A New Paradigm of New World Economic" ณ ห้องฉัตราบอลรูม โรงแรม สยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ วันที่ 27 มีนาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.
คุณ Juhi McClelland กรรมการผู้จัดการของ IBM Consulting ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้เจาะลึกศักยภาพของ Generative AI ในปี 2025 ไว้
ในช่วง AI-Driven Strategy: Delivering Value Beyond Experimentation โดยระบุว่า
ในปี 2025 นี้ ข้อมูลทางธุรกิจที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์จาก Generative AI ยังมีเพียง 1% เท่านั้น นี่คือโอกาสมหาศาลที่เราสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลธุรกิจของเราเพื่อสร้างความแตกต่าง
แม้ว่าหลายคนมองว่าการใช้ AI ต้องอาศัยการลงทุนระดับพันล้าน แต่ DeepSeek ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถทำให้ AI เข้าถึงได้สำหรับทุกคน
ทำให้ข้อมูลกลายเป็นประชาธิปไตย โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่มาพร้อม GPU ราคาแพง
DeepSeek ได้นำเสนอกระบวนทัศน์ใหม่ที่เปิดโอกาสให้เราทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างแท้จริง ในจุดนี้เป็นเรื่องน่าชื่นชมอย่างมาก
สหภาพยุโรป (EU) กำลังเป็นผู้นำในการวางกรอบกฎเกณฑ์ด้าน AI ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึงความกังวลที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้
ในขณะเดียวกัน เราก็คาดการณ์ว่าประเทศต่างๆ จะให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรฐานสำหรับ Generative AI มากยิ่งขึ้น
AI มีศักยภาพมหาศาลในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งมีการประเมินผลตอบแทนในหลากหลายมิติอย่างต่อเนื่อง
McKinsey ได้คาดการณ์ว่า AI สามารถเพิ่มผลกำไรให้กับภาคธุรกิจได้ระหว่าง 2.3 - 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน PwC ได้ประเมินว่า AI จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจโลกได้ถึง 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงกว่าขนาดเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก
และคาดการณ์ว่าอาจมีขนาดใหญ่กว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหราชอาณาจักรเสียอีก นี่จึงเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการขับเคลื่อนการเติบโตและเพิ่มพูนผลกำไร
แม้ว่าประเด็นเรื่องผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานและความกังวลเกี่ยวกับแง่มุมที่ไม่พึงประสงค์ของ AI จะยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
แต่ กรรมการผู้จัดการของ IBM เชื่อมั่นว่าเมื่อองค์กรต่างๆ สามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาก็จะนำผลผลิตเหล่านั้นไปลงทุนในส่วนอื่นๆ เพื่อแสวงหาการเติบโตในระยะยาวต่อไป
คุณ Juhi McClelland ยังได้แบ่งปันการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ไว้ว่าแนวโน้มปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Domain-Specific AI) มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือกรณีของ L'Oréal ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
L'Oréal ได้นำ LLMs มา ปรับแต่งให้มีความเชี่ยวชาญในด้านผลิตภัณฑ์ความงาม สภาพผิว และองค์ประกอบทางเคมี ส่งผลให้ระบบ AI ของพวกเขาสามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างแม่นยำและตรงจุด
อีกหนึ่งกรณีศึกษาคือ Hong Kong Jockey Club ซึ่งได้มีการนำ AI เฉพาะทางมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแข่งม้า
ซึ่งในอดีตกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าการนำปัญญาประดิษฐ์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาประยุกต์ใช้ในบริบทของธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าจับตามองคือการพัฒนาของ Agentic AI ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากจาก Gartner
โดยทั่วไปแล้ว ระบบ AI ที่เราคุ้นเคยนั้นจะตอบสนองต่อคำสั่งหรือคำถามที่เราป้อนเข้าไป
แต่ Agentic AI มีศักยภาพที่เหนือกว่านั้น โดยสามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน และดำเนินการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถปฏิบัติงานต่างๆ แทนเราได้
แม้ว่าเทคโนโลยี Agentic AI จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แต่คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นการนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในหลากหลายภาคส่วน ทั้งในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจ
โดยสรุป ภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ๆ เหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความสามารถในการแข่งขันและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร