เลี้ยงหมูขุน คืนทุนง่าย รายได้ดี
5 เดือน!! 100 กิโลกรัม!! ไม่ใช่คอร์สลดน้ำหนักนะครับ แต่เป็นโปรแกรมการขุนเลี้ยงสุกร
5 เดือน!! 100 กิโลกรัม!! ไม่ใช่คอร์สลดน้ำหนักนะครับ แต่เป็นโปรแกรมการขุนเลี้ยงสุกร
โดย ทีมงาน ธุรกิจติดดาว
5 เดือน!! 100 กิโลกรัม!! ไม่ใช่คอร์สลดน้ำหนักนะครับ แต่เป็นโปรแกรมการขุนเลี้ยงสุกร หรือว่า หมูให้มีขนาดและน้ำหนักต่อตัว 100 กก.ขึ้นไป โดยใช้เวลาเลี้ยงเพียง 5 เดือน หรือประมาณ 150 วันก็สามารถส่งขาย ทำรายได้เข้ากระเป๋าได้อย่างสบายๆ
คิดง่าย ๆ หมู 1 ตัว น้ำหนัก 100 กก. สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้เลี้ยงได้ถึงกก.ละ 4.40 บาท เฉลี่ยแล้วก็อยู่ที่ตัวละประมาณ 440 บาท หากลงทุนลงแรงเลี้ยงสัก 700 ตัว บวกลบคูณหารกันแล้วก็มีไม่ต่ำ 300,000 บาท โอ้ว!! รายได้ไม่ธรรมดาเลย สำหรับอาชีพเลี้ยงหมูขุน ของเกษตรกรรายย่อย ที่ต้องบอกว่ารายได้นั้นก็ไม่ใช่ย่อยเช่นกัน
อภิรัตน์ แก้ววิเศษ เด็กหนุ่มวัย 30 ต้นๆ จาก อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ตัดสินใจลาออกจากงานมาเลี้ยงหมูขุน โดยแบ่งพื้นที่ของพ่อแม่มาตั้ง “อภิรัตน์ฟาร์ม” ใน อ.พัฒนานิคม ท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและห่างไกลชุมชน ซึ่งเหมาะต่อการเลี้ยงหมูขุนมากเนื่องจากกลิ่นไม่ไปพบกวนชุมชนรอบข้าง
อธิบายคำจำกัดความของคำว่า “หมูขุน” ว่าเป็นสุกรสามสายพันธุ์ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้มีการคัดเลือกพันธุ์และพัฒนาปรับปรุงพันธุ์สุกรโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์มามากกว่า 30ปี ส่วนสาเหตุที่เรียกว่า “หมูขุน” นั้นก็เป็นเพราะรูปแบบการเลี้ยงที่เกษตรกรจะต้องทำหน้าที่เลี้ยงขุนดูแลลูกหมูที่ได้รับมาจากฟาร์มแม่พันธุ์ของบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งโดยทั่วไปลูกหมูที่สามารถเริ่มเลี้ยงขุนได้นั้นจะมีอายุประมาณ 1921 วัน และมีขนาดน้ำหนักตัวอยู่ในช่วง 6 .5 7 กิโลกรัม สำหรับน้ำหนักที่เหลืออีกกว่า 90 กิโลกรัมนั้น ก็เป็นหน้าที่ของเกษตรกรที่จะต้องขุนเลี้ยงลูกหมูให้อิ่มหนำสำราญตามโปรแกรมการเลี้ยงที่บริษัทกำหนดไว้ให้อีกเป็นเวลา 5 เดือน จนหมูโตได้ขนาดและน้ำหนักตามมาตราฐานที่กำหนด พอถึงเวลาทางซีพีเอฟก็จะส่งพนักงานมาจับ โดยรายได้ของเกษตรกรจะมาจากน้ำหนักหมูที่เพิ่มขึ้นจากการเลี้ยงดูนั่นเอง
ปัจจุบันการเลี้ยงหมูหรือสุกรได้มีการพัฒนามากขึ้น มีการเลี้ยงในโรงเรือนแบบปิด การให้อาหารก็เป็นแบบอัตโนมัติ ทำให้เกษตรกรเลี้ยงและดูแลสุกรได้ง่ายขึ้น โดยทางบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มีโครงการส่งเสริมอาชีพเลี้ยงหมูขุนให้กับเกษตรกรรายย่อย ในรูปแบบ Contract Farming มีการถ่ายทอดความรู้ในการ”เลี้ยงหมูขุน” โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการจัดการ จัดสร้างโรงเรือนระบบปิด ติดเครื่องให้อาหารอัตโนมัติ จัดหาสุกรพันธุ์ดี จัดหาอาหารคุณภาพดี ตลอดจนมีเจ้าหน้าที่ดูแลให้คำปรึกษาและมีเจ้าหน้าที่สัตวบาลเข้ามาดูแลฉีดวัคซีน ป้องกันและควบคุมโรค ตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงมีการจัดการฟาร์มและสภาพแวดล้อมที่ดี มีระบบการจัดการของเสียภายในฟาร์มที่ได้มาตราฐานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ซีพีเอฟดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงเค้าก็นำเอาลูกหมูเข้ามาให้ อาหารก็จัดมาให้ไล่ตามเบอร์เลยครับ ตั้งแต่เบอร์0 เบอร์1 เบอร์2 เบอร์3 เค้าจะจัดเป็นโปรแกรมการให้อาหารมาเลย ลูกหมูอายุเท่านี้ต้องกินอาหารเบอร์นี้ ปริมาณที่ให้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของหมู เช่นถ้าเป็นหมูเล็กก็จะให้อาหารวันละ 500 กิโลกรัมต่อรุ่น หมูใหญ่ขึ้นก็เพิ่มปริมาณอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งตัวของเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องการส่งเสริม พวกวัคซีน ยา การจัดการฟาร์ม จนกระทั่งการขาย ซีพีเอฟมีเจ้าหน้าที่มาดูแลให้เราหมดทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ เรามีหน้าที่เลี้ยงอย่างเดียว แล้วก็ดูแลทำความสะอาดซึ่งภายในโรงเรือนจะต้องเน้นเรื่องความสะอาดเป็นอย่างมาก พอถึงเวลาหมูได้ขนาดก็ขาย มีรายได้ที่เข้ามาแน่นอน จะเรียกว่า เป็นค่าจ้างเลี้ยงก็ได้นะ แต่เราเองก็ต้องมีที่ดินมีพื้นที่ มีแหล่งน้ำเพียงพอ มีเงินทุน เพื่อลงทุนสร้างโรงเรือนระบบปิดให้เป็นไปตามมาตราฐานที่บริษัทกำหนดและที่สำคัญต้องมีใจรักในอาชีพนี้ด้วย ” อภิรัตน์ เกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงสุกรขุน กล่าว
อภิรัตน์ แก้ววิเศษ เกษตรกรรายย่อยผู้เลี้ยงหมูขุน ตัดสินใจร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรขุนของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่น่าจะสร้างรายได้ที่มั่นคงแน่นอน และมีความเป็นอิสระได้อยู่กับครอบครัว รวมทั้งมีโอกาสได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากภาควิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลยคิดว่าถ้านำความรู้ความสามารถที่มีมาทำงานตรงนี้ก็น่าจะทำได้สำเร็จ เลยลองทำดู
อาชีพเลี้ยงหมูขุน ของอภิรัตน์ แก้ววิเศษ คนหนุ่มวัยเพียง 28 ปี ที่แม้จะเพิ่งเริ่มทำอาชีพนี้มาได้ไม่ถึง 2 ปี ก็เลี้ยงหมูขุนส่งขายไปได้แล้วถึง 2 รุ่น โดยเริ่มเลี้ยงจากโรงเรือนที่มีอยู่จำนวน 2หลัง หลังละ 700 ตัว รวม 1,400 ตัวต่อรุ่น แต่ละรุ่นก็มีรายได้เข้ามาประมาณ 540,000 – 550,000 บาท รายได้ขนาดนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือปัจจุบันการเลี้ยงหมูขุน รุ่นที่3 ของอภิรัตน์ เวลานี้ได้มีขยายโรงเรือนเพิ่มอีก 1 หลัง รวมเป็น 3 หลัง ทำให้สามารถเลี้ยงหมูได้ถึง 2,100 ตัว คิดเอาเองก็แล้วกันว่า หมูขุน รุ่นที่3 ของอภิรัตน์ ฟาร์ม จะให้ผลแทนเป็นรายได้สักเท่าไร ?????
หมูขุน เลี้ยงสบาย รายได้ดีก็จริง แต่ทั้งนี้เกษตรกรก็ต้องลงทุนในเรื่องของโรงเรือนอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อภิรัตน์ บอกว่า เค้าใช้เงินลงทุนกว่า 2 ล้านบาท ในการสร้างโรงเรือนระบบปิด 1 หลัง ซึ่งรวมระบบเทคโนโลยีต่างๆแล้ว อาทิ ระบบปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ หรืออีแวป ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนให้เหมาะกับช่วงอายุของสุกร ส่วนระบบการให้อาหารจะติดไซโลหรือเครื่องจ่ายอาหารอัตโนมัติ ส่วนพื้นและผนังทำเป็นคอนกรีต และภายในโรงเรือนยังจัดให้มีส้วมน้ำสำหรับให้หมูขับถ่ายทำให้ภายในโรงเรือนสะอาด ไม่มีกลิ่นแอมโมเนีย หมูอยู่อย่างสบาย ไม่เครียดสุขภาพดี นอกจากนี้ยังต้องมีระบบการจัดการของเสีย และระบบบำบัดภายในโรงเรือน รวมไปถึงพื้นที่บริเวณรอบๆฟาร์ม ด้วยการปรับพื้นที่สร้างบ่อบำบัดมูลสุกรและน้ำเสีย “ระบบไบโอแก๊ส” ซึ่งเป็นการนำมูลสุกรเข้าสู่ระบบบ่อหมักแก๊สชีวภาพ เกิดผลพลอยได้จากระบบไบโอแก๊ส เป็นแก๊สชีวภาพที่นำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนที่สามารถผลิตเป็นไฟฟ้าใช้ในระบบโรงเรือนเลี้ยงสุกร ทำให้แต่ละเดือนจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าเพียง 3,000 บาท ลดลงจากที่แต่ก่อนต้องเสียเดือนละ 10,000 บาท ข้อดีของระบบไบโอแก๊สนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในฟาร์มไปได้ถึง 7,000 บาทแล้ว ยังมีรายได้เสริมจากการนำมูล (ขี้) หมูตากแห้ง ไปผลิตเป็นปุ๋ยอัดเม็ดขายอีกด้วย
การลงทุน ลงแรงเลี้ยงหมูขุน ในรูปแบบ Contract Farming ที่มีการประกันรายได้ที่แน่นอนให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยง นับว่าเป็นอีกอาชีพทางการเกษตรที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย หากมีเงินทุนเป็นของตัวเองรับรองคืนทุนได้เร็วแน่นอน แถมไม่มีความเสี่ยงด้านการตลาดอีกต่างหาก น้องหมู น่าเลี้ยง...น่าขุน อย่างนี้ไม่ติดดาวให้ไม่ได้แล้วล่ะครับ
สำหรับเกษตรที่สนใจเข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพเลี้ยงหมูขุน ของซีพีเอฟ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02 675 9909