หลั่งเลือดแลกเงิน
เชื่อหรือไม่ว่า ถ้าเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ คนบางคนยอมได้แม้กระทั่งเอาเลือดเนื้อของตัวเองเข้าแลก
ถ้าไม่เชื่อ ต้องไปหาภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit Of Happyness หรือชื่อภาษาไทยว่า “ยิ้มไว้ก่อน... พ่อสอนไว้” ที่ “วิล สมิท” นำแสดง โดยในช่วงที่ตกอับที่สุด เขาต้องไปนอนบริจาคเลือดเพื่อให้ได้เงินมาประทังชีวิต เพราะในต่างประเทศเขา “รับซื้อเลือด”
แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีองค์กรที่จ่ายเงินให้กับคนที่ไปบริจาคเลือด (จริงๆ แล้วเป็นการบริจาคพลาสมา) จนถึงกับมีการเขียนแนะนำเรื่อง “วิธีการเป็นเศรษฐีจากการขายพลาสมา” และสิ่งที่ควรรู้ก่อนที่จะไปบริจาคพลาสมาเพื่อให้ได้เงิน
ข้อมูลจากสภากาชาดไทย ระบุว่า พลาสมา (Plasma) หรือน้ำเหลือง คือ ส่วนประกอบของโลหิตที่มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองใส โดยในการบริจาคโลหิตจะแยกพลาสมาออกมาได้เพียง 100150 มิลลิลิตร (ซีซี) เท่านั้น จึงต้องมีการรับบริจาคเฉพาะพลาสมา โดยที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย บอกว่าจะใช้เวลาบริจาคครั้งละประมาณ 3045 นาที และสามารถบริจาคได้ทุก 14 วัน
แต่จากเรื่องวิธีการเป็นเศรษฐีจากการขายพลาสมาแนะนำว่า เขาสามารถบริจาคพลาสมาได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เท่ากับว่า เดือนหนึ่งสามารถบริจาคได้ถึง 8 ครั้ง โดยรายได้เฉลี่ยต่อครั้งจะอยู่ที่ 25 เหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับเดือนละ 200 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยง่ายๆ ก็ไม่มากไม่น้อยเดือนละ 6,600 บาท ปีละ 79,200 บาท
นอกจากนี้ เมื่อนำเงินไปลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนประมาณ 11% ต่อปี เงินที่ได้จากการขายพลาสมาจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะในเวลาเพียง 5 ปี เงินจะเพิ่มเป็น 16,951 เหรียญสหรัฐ หรือ 559,383 บาท ถ้ายาวนานไปถึง 10 ปี มูลค่าของพลาสมาจะเพิ่มเป็น 44,547 เหรียญสหรัฐ หรือ 1,470,051 บาท
แต่สำหรับประเทศไทย ยังไม่เห็นหน่วยงานไหนจะออกประกาศว่าจะให้ “สินจ้าง” สำหรับการบริจาคพลาสมา
แม้ว่าจะไม่มีเงินจ้าง แต่คนไทยก็ยินดีที่จะบริจาคไม่ว่าจะเป็นโลหิต พลาสมา หรือการบริจาคเงินก็ตาม เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนกันอยู่แล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าองค์กรต่างๆ ที่รับบริจาคโลหิต อย่างเช่น สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลของรัฐ อาทิ โรงพยาบาลศิริราช จะไม่ได้ให้สิ่งตอบแทนสำหรับความมีน้ำใจของผู้บริจาค
เพราะผู้บริจาคที่จะได้รับสิทธิประโยชน์บางอย่างจากการบริจาคเงินและโลหิต โดยเฉพาะสิทธิลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล และในหลายๆ กรณีมีเรื่องเล่ากันมาว่า ผู้บริจาคจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนไข้ธรรมดา
“ทางโรงพยาบาลจะดูแลผู้อุปการะเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว” เจ้าหน้าที่มูลนิธิของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งให้ข้อมูล
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลศิริราช ระบุว่า กรณีที่เป็นผู้อุปการะ โรงพยาบาลจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลคนไข้เป็นกรณีพิเศษเช่นกัน โดยจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้ามาใช้บริการที่โรงพยาบาล
“เราจะมีผู้อำนวยความสะดวกคอยดูแล พาไปพบหมอ พาไปรับยา รวมถึงการนัดหมายเพื่อพบหมอในครั้งต่อไป แต่สำหรับเรื่องการจองห้องพัก คนไข้ยังต้องรอเช่นเดียวกับคนไข้อื่น เพียงแต่เจ้าหน้าที่อาจจะคอยติดตามให้” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศิริราช กล่าว
ในกรณีปกติสิทธิพิเศษเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับผู้อุปการะที่บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลหรือมูลนิธิของโรงพยาบาล (รายละเอียดตามตาราง) ตั้งแต่ 1 แสนบาท ไปจนถึงมากกว่า 50 ล้านบาท เราก็จะได้รับสิทธิตามที่แต่ละแห่งกำหนดไว้
แต่เราเป็นพวก “ทรัพย์จาง” แต่ “เลือดข้น” ละก็เราสามารถใช้เลือดแลกเงินได้
แม้ว่าการบริจาคโลหิตของเราจะไม่ได้หวังผลอะไรมากไปกว่าการสร้างบุญกุศลและช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก แต่การบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอให้เราได้มากกว่าแค่บุญกุศล
ถ้าเรามีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้บริจาคโลหิตตามข้อกำหนดของสภากาชาดไทย เช่น ต้องอายุ 1770 ปี น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ได้อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาเพื่อรักษาโรคอยู่ เราจะสามารถบริจาคโลหิตได้ต่อเนื่องปีละ 34 ครั้ง (โดยได้รับธาตุเหล็กเสริม)
และมีน้ำหนักตัว 4550 กิโลกรัม จะสามารถบริจาคได้ครั้งละ 350 ซีซี แต่ถ้าอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาหน่อยน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถบริจาคได้ครั้งละ 400450 ซีซี
ไม่ว่าจะไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย หรือโรงพยาบาลศิริราช เราจะได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคนที่บริจาคเงินเป็นล้านๆ บาท
กรณีที่ไปบริจาคที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นประจำ โดยถ้าเริ่มบริจาคโลหิตมาตั้งแต่อายุ 18 ปี บริจาคเป็นประจำและต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง จะใช้เวลา 17 ปี ที่จะสะสมยอดบริจาคให้ได้มากกว่า 50 ครั้ง หรือเมื่ออายุ 35 ปี จะได้รับสิทธิลดหย่อนค่ารักษาพยาบาล 25% ในกรณีเป็นผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
เพราะการบริจาคโลหิตให้โรงพยาบาลศิริราช 50 ครั้งขึ้นไป จะมีสิทธิเทียบเท่ากับการบริจาคเงินตั้งแต่ 13 ล้านบาท ในฐานะผู้อุปการะกิตติมศักดิ์
นอกจากนี้ ยังไม่ใช่เราคนเดียวที่จะได้รับสิทธิพิเศษอันนี้ แต่ยังรวมไปถึง พ่อ แม่ คู่สมรส และบุตร ที่ชอบด้วยกฎหมายที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีด้วย
แต่ถ้าบริจาคน้อยกว่า 50 ครั้ง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับสิทธิ เพราะสิทธิประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อบริจาคโลหิตตั้งแต่ 10 ครั้งขึ้นไป เช่นเดียวกับผู้บริจาคเงิน 1 แสนบาท แต่ไม่ถึง 4 แสนบาท ที่จะได้รับส่วนลดค่ารักษาพยาบาล 10% เฉพาะตัวเราคนเดียว ในฐานะผู้อุปการะสามัญ
สำหรับการบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยจะได้รับสิทธิลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลเช่นเดียวกัน แต่ในเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป โดยการบริจาคเลือดตั้งแต่ 7 ครั้งขึ้นไปจะได้รับสิทธิลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลเมื่อเข้ารักษาพยาบาลของสภากาชาดไทย คือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา
และจากฟอร์เวิร์ดเมลเมื่อนานมาแล้ว (กรุณาตรวจสอบความถูกต้องจากสภากาชาดไทยอีกครั้งหนึ่ง) บอกว่า ถ้าบริจาคโลหิตตั้งแต่ 24 ครั้งขึ้นไป จะได้รับการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล 100% บวกค่าห้องพิเศษและค่าอาหารอีก 50% แต่ถ้าสะสมไว้มากถึง 100 ครั้งขึ้นไป จะได้รับสิทธิขอพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ
และในฟอร์เวิร์ดเมลฉบับเดียวกันมีตัวอย่างที่น่าตื่นเต้นว่า คนไข้โรคลิ้นหัวใจรั่ว ที่มีค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาฯ 1.1 แสนบาท แต่เป็นเพราะคนไข้คนนี้บริจาคโลหิตกับสภากาชาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง รวมแล้ว 49 ครั้ง ทำให้ได้รับสิทธิลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลจนเหลือเพียง 9,800 บาทเท่านั้น
ต้องบอกว่าน่าสนใจกว่าการทำประกันสุขภาพเสียอีก เพราะไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน เพียงแค่สละเลือดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง
แต่สำหรับใครที่กำลังคิดจะนำ “เลือดเนื้อ” ของคนอื่นไปเป็นเครื่องมือต่อรองแลกเงินของตัวเอง คงจะต้องคิดทบทวนให้รอบคอบสักหน่อย เพราะไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับคนประเภทนี้