ก้าวต่อไปของ'สีบุญเรือง' สู่ตัวแทนจำหน่ายครบวงจร
แม้ว่ากลุ่มสีบุญเรืองจะปลุกปั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “ชาร์ป” ในประเทศไทยมากว่า 70 ปี
แม้ว่ากลุ่มสีบุญเรืองจะปลุกปั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “ชาร์ป” ในประเทศไทยมากว่า 70 ปี
แต่ภาพที่ออกมากลับเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวแบบไม่หวือหวานัก ทั้งที่ความเป็นจริงมีการขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจร
“ถ้าไม่ขยายธุรกิจก็ไม่เติบโต เราจะหวังการเติบโตเพียงธุรกิจเดิมไม่ได้ และการกระจายไปยังหลายๆ ธุรกิจที่มีโอกาสยังช่วยลดความเสี่ยงให้กับองค์กรด้วย” สมทบ สีบุญเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรดักส์ คอนซัลแต้นท์ หนึ่งในบริษัทจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าของสีบุญเรือง กล่าว
ก้าวย่างของสีบุญเรืองเริ่มจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มภาพและเสียงให้กับ “ชาร์ป” ในนาม เทพนคร จนเมื่อปี 2550 ก็เปลี่ยนจากตัวแทนจำหน่ายเป็นผู้ถือหุ้นในชาร์ป ประเทศไทย 25% หลังจากบริษัทแม่ชาร์ปตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย
นอกจากนี้ กลุ่มสีบุญเรืองยังได้ขยายการลงทุนในอาคารสำนักงานใจกลางเมือง อาคารสีบุญเรือง 1 สีบุญเรือง 2 และอาคารสิวะดล ในนามบริษัท สิวะดล ซึ่งปัจจุบันถือเป็นรายได้หลักที่ทำรายได้อันดับหนึ่งของกลุ่ม โดยปัจจุบันทั้ง 3 อาคารมีผู้เช่าเต็ม 100%
สำหรับธุรกิจที่ทำรายได้เป็นอันดับสอง คือ ธุรกิจขนส่งในนามบริษัท สิวะดล ดิสทริบิวชั่น ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำโลจิสติกส์ให้กับค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างเทสโก้ โลตัส โดยธุรกิจดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นผู้ที่รับบริการดูแลหลังการขายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำหน่ายในเทสโก้ โลตัส อีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อการรองรับธุรกิจขนส่งและการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอื่นๆ กลุ่มสีบุญเรืองได้นำที่ดินในมือมาสร้างศูนย์กระจายสินค้า โดยปัจจุบันมีด้วยกัน 5 แห่ง ประกอบด้วย สมุทรปราการ นครชัยศรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี ซึ่งครอบคลุมจุดสำคัญในการกระจายสินค้าได้ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้ต่อยอดการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าชาร์ป ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ทุกยี่ห้อเข้าโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมในนาม “เพาเวอร์ เอต” (Power Eight) ปัจจุบันมีลูกค้ารายใหญ่อย่างโครงการบ้านและคอนโดของแสนสิริ พฤกษา อนันดาฯ เป็นต้น
การขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเจาะเข้าโครงการ เป็นผลจากการมองเห็นแนวโน้มการทำตลาดของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่เน้นอัดแคมเปญแจกเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะช่วง 34 ปีที่ผ่านมา โครงการจัดสรร และคอนโดมิเนียมหลายแห่ง แห่ขายบ้านแบบตกแต่งพร้อมอยู่ แถมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ทำให้ตลาดเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวก้าวกระโดด
หลังจากนั้นยังต่อยอดธุรกิจรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายใต้ชื่อ “เพาเวอร์ ช็อป” เพื่อให้การเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าครบวงจรขึ้น
สำหรับการขยายไปยังธุรกิจต่างๆ ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสของตลาด ซึ่งล่าสุดได้นำเข้าฟิล์มนิรภัยติดกระจกสำหรับบ้านและรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ “เอสเทค” (STEC) จากประเทศเกาหลีเข้ามาทำตลาด
“ที่มาที่ไปเกิดจากการที่เราบริหารอาคารสำนักงาน 3 แห่ง และต้องการให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งหลังจากนี้จะนำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัยเข้ามาทำตลาดมากขึ้น”
สำหรับฟิล์มนิรภัยติดกระจก “เอสเทค” ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 100 ล้านบาท เน้นเจาะตลาดที่อยู่อาศัย 70% รถยนต์ 30% เนื่องจากตลาดฟิล์มติดกระจกรถยนต์ที่มีมูลค่าตลาด 1,700 -2,000 ล้านบาท มีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก และผู้เล่นแต่ละรายมีความแข็งแกร่งมากแล้ว บริษัทจึงตั้งเป้ายอดขายฟิล์มติดกระจกรถยนต์เพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่ตลาดกระจกบ้านและคอนโดในปัจจุบันยังไม่มีใครทำตลาดจริงจัง จึงมั่นใจมีโอกาสสูง จะเน้นดึงตัวแทนจำหน่ายเหล็กดัดเข้ามาจัดจำหน่ายให้เอสเทค พร้อมชูจุดแข็งเรื่องผลกำไรที่สูงกว่ากสร้างแรงดึงดูด โดยวางเป้าปีแรกมีตัวแทน 50 ราย เพื่อผลักดันให้ยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำเข้า หลังจากนี้มีแนวโน้มที่จะนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตและก้าวสู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าครบวงจร