posttoday

HMPRO

16 ตุลาคม 2555

HMPROการขึ้นเครื่องหมาย XD เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ต.ค. 2555) โดยปันผลเป็นหุ้น 5 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นปันผล และจ่ายเป็นเงินสดอีก 0.02222 บาทต่อหุ้น

โดย...จิตรา อมรธรรม

HMPROการขึ้นเครื่องหมาย XD เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ต.ค. 2555) โดยปันผลเป็นหุ้น 5 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นปันผล และจ่ายเป็นเงินสดอีก 0.02222 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้น HMPRO ไดลูทลงจาก 14 บาทซึ่งเป็นราคาปิดวันก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD เหลือ 11 บาทเศษในปัจจุบัน แต่ต้องถือว่าผู้ถือหุ้นได้ปันผลฟรีเพราะที่ราคา 14 บาทก่อนจ่ายปันผล จะเท่ากับ 11.67 บาท แต่ราคาปิดวานนี้ ที่ 12 บาท เท่ากับว่าผู้ถือหุ้นนอกจากจะได้ลูกหุ้นฟรีแล้วยังมีกำไรอีก 2.8%

HMPRO เป็นบริษัทหนึ่งที่มักจ่ายปันผลเป็นหุ้น ทำมา 5 ครั้งใน 4 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวจาก 4 ปีก่อนที่ยังมีหุ้นชำระแล้ว 1,986 ล้านหุ้น เป็น 5,867 ล้านหุ้นในปัจจุบัน (มีการแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกให้พนักงาน แต่เป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย) แต่มูลค่าตลาด (Market Capitalization) กลับเพิ่มขึ้นถึง 11 เท่าจากไม่ถึง 6,000 ล้านบาท สิ้นปี 2551 เป็น 6.9 หมื่น

HMPRO

ล้านบาท ในปัจจุบัน เพราะไม่ลำพังจำนวนหุ้นจะเพิ่มเท่านั้น แต่ราคาหุ้นก็เพิ่มต่อเนื่องด้วย นี่จึงเป็นคำตอบสำหรับนักลงทุนที่มักถามว่าจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาหุ้นถูกไดลูทลงเสมอไปหรือไม่ ไม่ว่าบริษัทใดก็ตามที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีขึ้น สามารถสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรก็สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี ราคาหุ้นของบริษัทแบบนี้ก็ควรตอบสนองไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพียงแต่ต้องใช้เวลา หุ้นลักษณะนี้จึงเรียกว่าเป็นหุ้นพื้นฐาน และ HMPRO ก็เป็นเช่นนั้น

ผลประกอบการของ HMPRO มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2551 รายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15% จากการขยายสาขาต่อเนื่องจาก 30 สาขาสิ้นปี 2550 เป็น 52 สาขา ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2555 หรือเฉลี่ยปีละ 4 สาขา แต่กำไรเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าถึง 2 เท่า คือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 30% จาก 959 ล้านบาท ในปี 2551 เป็น 2,000 ล้านบาท ในปี 2554 เนื่องจากบริษัทควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างดีมาก เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 26% ในปี 2551 เป็น 28% ในงวดครึ่งปีแรกปีนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทรงตัวอยู่ที่ระดับ 21-22% ต่อยอดขายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ดอกเบี้ยจ่ายก็เช่นกัน จึงส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 4.3% ในปี 2551 เป็น 7.2% ณ สิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

สำหรับปี 2555 นี้ ยิ่งได้ประโยชน์เพิ่มจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงจาก 30% เหลือ 23% ตามนโยบายภาครัฐ ในขณะที่ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น บริษัทก็ยังควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้ผลกำไรในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2554 สำหรับกำไรในงวดไตรมาส 3 ยังเติบโตแข็งแกร่งแม้เผชิญฝนตกตลอดไตรมาส รวมถึงการขยายสาขาในเชิงรุกในระยะหลัง บางครั้งก็ทำให้เกิดการแย่งสาขากันเองบ้าง (Cannibalization)

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของเราคาดว่ากำไรในไตรมาส 3 น่าจะเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสที่แล้ว และเพิ่ม 24% จากไตรมาส 3 ปีก่อน จากเปิดสาขาใหม่ 3 แห่งในไตรมาสนี้ ได้แก่ จ.นครสวรรค์ สมุทรสาคร และอุบลราชธานี และ 2 สาขาใหม่ที่เปิดในไตรมาสก่อนได้แก่ เมกาบางนาและหาดใหญ่ ที่รวมรายได้เข้ามาเต็มไตรมาส ทำให้สิ้นไตรมาส 3 บริษัทมีสาขาทั้งสิ้น 52 สาขา กลยุทธ์สำคัญอีกประการคือการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่ผลิตเอง (House Brand) ให้มากขึ้น เพราะสินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรสูง ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนสินค้า House Brand 19% เพิ่มเรื่อยๆ จาก 4 ปีก่อนที่ยังอยู่ที่ระดับ 11%

แนวโน้มกำไรในไตรมาส 4 น่าจะเป็นกำไรที่สูงที่สุดของปีนี้ เนื่องจากเป็นช่วงจัดงาน Homepro Expo เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย.ของทุกปี และจะมีการขยายอีก 1 แห่ง ที่ จ.ราชบุรี เป็นสาขาที่ 8 ของปีนี้ครบตามเป้าหมายของบริษัท จะทำให้บริษัทมีจำนวนสาขาสิ้นปี 53 สาขา ดังนั้น ในปี 2555 นักวิเคราะห์เราจึงคาดว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโต 35%

สำหรับปี 2556 บริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาในอัตราเร่งอีก 8 สาขา เน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand และยังคงคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงคาดว่ากำไรในปีหน้าก็ยังจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก คือ 27% เราประเมินมูลค่าตามพื้นฐานในปีหน้าได้เท่ากับ 14.10 บาท ในทางเทคนิคราคาหุ้นน่าจะพักเหนื่อยลงมาที่ระดับ 11.50-11.40 บาท ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มสะสมใหม่ได้อีกครั้งค่ะ