หุ้นกลุ่ม'เฮลท์แคร์'ยังแข็งแรง
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล
เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของโรงพยาบาลเอกชนในไทยยังคงสดใสจากปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ 1.รายได้ของประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการสูงขึ้น 2.จำนวนประชากรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 3.เทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้โรงพยาบาลสามารถเพิ่มค่ารักษาได้ (จากการทำประกันที่มากขึ้น) และ 4.การให้ความสำคัญกับประเทศไทย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์
“ผลการตรวจสุขภาพของกลุ่มโรงพยาบาลยังคงแข็งแรงดี เราจึงยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล โดยมี BCH (บางกอก เชน ฮอสปิทอล) และ BGH (กรุงเทพดุสิตเวชการ) เป็นหุ้นเด่นแนะนำในกลุ่มนี้”
บล.ทิสโก้ ประเมินว่า โรงพยาบาลเอกชนมีส่วนแบ่งการตลาดสูงขึ้นเป็น 25% ของจำนวนเตียงทั้งประเทศ (จากเดิมมีเพียง 19% ในปี 2549 คาดว่าการเติบยังคงต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 20% ต่อปี สำหรับปี 2555-2557 สำหรับ 3 โรงพยาบาลภายใต้การวิเคราะห์ของเรา คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน 25% เทียบกับคู่แข่งภายในภูมิภาคที่ 22%
สำหรับหุ้น BCH เป็นหุ้นที่ชอบที่สุด เนื่องจากได้ประโยชน์จากประกันสังคมสูงสุดและมีการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ทำให้มีเตียงเพิ่มขึ้น 324 เตียงในช่วงไตรมาส 4 ปี 2555 จึงเชื่อว่าการเปลี่ยนนโยบายประกันสังคมจะทำให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทรัพยากรของโรงพยาบาลได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดว่าจะทำให้ผลประกอบการของ BCH โตขึ้น 25% เมื่อเทียบปีก่อน โดยมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 12.2 บาท
ขณะที่ปี 2555 คาดว่าต้นทุนในการดำเนินงานของโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์ (WMC) ที่เข้ามา จะทำให้ผลประกอบการในปีหน้าเติบโตเพียง 10% แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการจะมาเติบโตดีขึ้นในปี 2557 หลังโรงพยาบาลใหม่ดำเนินการเต็มที่แล้ว
บล.ทิสโก้ ยังแนะนำให้ “ซื้อ” BGH โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 123 บาท เนื่องจากเครือข่ายภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้มีผู้ป่วยในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น ในขณะที่การขยายโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และอีก 3 สาขาในต่างจังหวัด จะทำให้ความจุเพิ่มขึ้น 11% ในปี 2557 คาดว่าผลประกอบการจะโตขึ้นโดยมี CAGR 21% ต่อปีสำหรับปี 2555-2557
ในส่วนของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) มีแผนที่จะเพิ่มความจุมากขึ้น 50% ในปี 2559 โดยการเปิดโรงพยาบาลใหม่และปรับปรุงสาขาที่ซอยนานา ถึงแม้ BH จะมี CAGR ที่ 20% ต่อปีสำหรับปี 2555-2557 จึงยังคงแนะนำให้ “ถือ” เนื่องจากราคาหุ้นที่ค่อนข้างแพง โดยมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 84 บาท
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ได้ประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลด้วยวิธี DCF ความเสี่ยงจาก 1.ภาวะเศรษฐกิจขาลง ซึ่งทำให้อำนาจซื้อลดลง 2.การขาดแคลนบุคลากรทำให้ค่าแรงพนักงานสูงขึ้น 3.ภัยธรรมชาติหรือความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้นักท่องเที่ยวลดลง 4.การแข่งขันในภูมิภาค 5.ความเสี่ยงในการดำเนินงานจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่และการใช้อุปกรณ์ที่มีราคาสูงไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ 6.การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสุขภาพของภาครัฐ
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำซื้อ BGH ให้ราคาพื้นฐาน 130 บาท โดยมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ผันแปรตามปัจจัยเศรษฐกิจ (Defensive) และมีการเติบโตในลักษณะที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิสูงสุดในรอบปีในไตรมาส 3 ปี 2555 ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบปีนี้เป็น 1,770 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.14 บาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้แรงผลักดันมาจากรายได้ที่เติบโต 15% และมีกำไรตามส่วนได้เสียจาก BH เพิ่มสูงขึ้น
อัตราการใช้เตียงคนไข้เป็น 78% ในไตรมาส 3 ปี 2555 เทียบกับไตรมาส 3 ปี 2554 ที่ 73% และ 65% ในครึ่งแรกของปี 2555 เพราะปริมาณคนไข้ที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 1.30% เป็น 34% ในไตรมาส 3 ปี 2555 ทั้งนี้กำไรหลักใน 9 เดือนแรกของปีนี้คิดเป็นสัดส่วน 80% เทียบกับประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ที่มีการปรับประมาณการแล้ว
บล.ไอร่า เลือกหุ้น BCH เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากมีจุดเด่น 3 ประการหลัก คือ 1.อัตราทำกำไรที่สูงสุดในกลุ่ม โดยคาดมี EBITDA Margin ปี 2555 สูงถึง 35.9% 2.ราคาหุ้นยังค่อนข้างถูก โดยซื้อขายบนพี/อีปี 2556 เพียง 2021 เท่า ขณะที่ค่าเฉลี่ยกลุ่มอยู่ที่ 24 เท่า หรือยังคงต่ำกว่าทั้ง BGH และ BH ที่ซื้อขายบนพี/อี ที่ 24-25 เท่า และ 3.จ่ายเงินปันผลสูงสม่ำเสมอเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน จ่ายทุกครึ่งปี โดยให้ราคาหุ้นเป้าหมายอยู่ที่ 11.30 บาท
“เรามองมีความเป็นไปได้ที่ BCH อาจพิจารณาจ่ายปันผลในรูปหุ้นอีกครั้งในงวดครึ่งหลังของปี 2555 เพื่อเพิ่มภาพคล่องในการซื้อขายและยังสามารถรักษาเงินสดไป เพื่อใช้ขยายกิจการเชิงรุกได้ด้วย โดยปัจจุบัน BCH มีแผนขยายเตียงให้บริการของคลินิก ที่ อ.แม่สาย เป็นโพลีคลินิกขนาด 30 เตียง ในกลางปี 2556 และขยายพื้นที่ให้บริการ โรงพยาบาลศรีบุรินทร์อีก จากปัจจุบันที่มีเตียงให้บริการ 120 เตียง ภายใต้งบลงทุน 1,100 ล้านบาท”
สำหรับกรณีการเลื่อนเปิดโรงพยาบาล WMC อาจกระทบช่วงสั้น โดยฝ่ายวิจัยได้ประเมินการเลื่อนเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ออกจากแผนเดิมไปอีก 1-2 เดือน เป็นกลางเดือน ธ.ค. 2555 รวมถึงการปรับสมมติฐานผลการดำเนินงานของ WMC ใหม่ จะมีผลต่อตัวเลขประมาณการกำไรปี 2556 ลดลงจากเดิม 9% แต่ด้วยการเติบโตของรายได้ของกลุ่มลูกค้าเงินสด ที่คาดจะขยายตัวได้ต่อเนื่องราว 7-8% เมื่อเทียบปีก่อน ตามแนวโน้มธุรกิจและผลบวกจากความคล่องตัวในการใช้บริการที่คาดปรับตัวดีขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์รัตนาธิเบศร์ ที่ได้เปิดใช้อาคารจอดรถใหม่แล้วตั้งแต่ปลายปี 2555 จึงส่งผลประเมินช่วยชดเชยผลขาดทุนที่จะเกิดจากโครงการโรงพยาบาล WMC ได้ โดยคาดตัวเลขกำไรปี 2556 ยังเติบโตได้ 2% จากปีก่อน เป็น 906 ล้านบาท และยังคงเชื่อว่าโครงการ WMC จะเข้าสู่จูดคุ้มทุนได้ในปี 2557 โดยประเมินโครงการ WMC จะมีกำไรในปี 2557 ราว 39 ล้านบาท ซึ่งส่งผลต่อเนื่องกำไรสุทธิปี 2557 โตโดดเด่นกว่า 19% จากปีก่อนเป็น 1,081 ล้านบาท จึงถือว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจ