"ดร.ช้าง-นำกฤติ" จากเส้นทางนักวิจัยสู่นักบริหาร (พอร์ต)
ดร.ช้าง หรือ นำกฤติ จีรพุทธิรักษ์ ที่ปรึกษาทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ที่กล้าให้คำนิยามตัวเองว่า “ผมเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ใช่นักเทคนิคคอล” จากเด็กช่างคิด และถนัดวิชาคณิตศาสตร์ (เลขคณิต) ขณะที่เรียน ม.5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้สอบเทียบติดคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างที่เรียนปี 1 ได้พบราชบัณฑิตหลายท่าน เช่น ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน (อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย) ให้คำแนะนำการศึกษาทำให้เริ่มคิดและวิเคราะห์ กระทั่งจบรัฐศาสตร์ มีโอกาสไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ดร.ช้าง หรือ นำกฤติ จีรพุทธิรักษ์ ที่ปรึกษาทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ที่กล้าให้คำนิยามตัวเองว่า “ผมเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ใช่นักเทคนิคคอล” จากเด็กช่างคิด และถนัดวิชาคณิตศาสตร์ (เลขคณิต) ขณะที่เรียน ม.5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้สอบเทียบติดคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างที่เรียนปี 1 ได้พบราชบัณฑิตหลายท่าน เช่น ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน (อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย) ให้คำแนะนำการศึกษาทำให้เริ่มคิดและวิเคราะห์ กระทั่งจบรัฐศาสตร์ มีโอกาสไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ระหว่างศึกษาอยู่ที่สหรัฐ ได้สั่งสมประสบการณ์จากการช่วยงานวิจัย การวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งที่นั่นมีทุนงานวิจัยมากมายแบบให้เปล่า ดร.ช้างได้ใช้โอกาสนี้ทำงานวิจัย และสอนหนังสือไปด้วย รวมทั้งเคยร่วมงานกับธนาคารโลก (World Bank) ในตำแหน่งนักวิชาการศึกษาแรงงานในประเทศกำลังพัฒนา
ด้านการศึกษา ดร.ช้าง คว้าปริญญาโทถึง 2 ใบ จาก OLD Dominion University (MA Master of Arts) และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเคนตักกี ซึ่งที่นี่ ดร.ช้าง ศึกษาต่อจนจบปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ด้วย
กลับมาเมืองไทย มีโอกาสได้ร่วมงานกับ ดร.กิตติ ลิ่มสกุล อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และร่วมงานกับผู้ใหญ่พรรคการเมืองอีกหลายท่าน ล้วนเป็นผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลมากสำหรับ ดร.ช้าง อาทิ สุธรรม แสงประทุม ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ สุรินทร์ พิศสุวรรณ และธวัช วิชัยดิษฐ
“หลังจากที่ผมกลับมา ได้มาเสนอแนะงานกับ ดร.อัมมาร ดร.สมเกียรติ ทีดีอาร์ไอ จนผมเกือบเป็นนักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ สุดท้ายได้มาช่วยงานคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์”
กระทั่งปี 2548 ดร.ช้าง ได้มาเป็นนักวิเคราะห์ และนักเศรษฐศาสตร์ให้กับ บล.กสิกรไทย อยู่ได้ 1 ปี บังเอิญตำแหน่งที่ บล.ยูบีเอส วอร์เบิร์ก ว่าง จึงไปเป็นเทรดเดอร์ที่นั่น 5 ปี ซึ่งที่ บล.ยูบีเอส ถือว่าได้เรียนรู้การซื้อขายหุ้นและการลงทุนด้วยตัวเอง เมื่อบ่มเพาะประสบการณ์ได้ที่แล้ว ถึงเวลาที่เขาจะออกมาเผชิญโลกธุรกิจด้วยตัวเอง ด้วยการตั้งบริษัทยาชื่อ ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป (ประเทศไทย) (CAPP) เป็นบริษัทยาที่มีการวิจัยและพัฒนาสูตรยา ต่างจากบริษัทยาทั่วไป สินค้าหลักของ CAPP คือ ยา Cappra หรือยาไวอะกร้า สมุนไพร และยาลดไข้ Koolcapp ซึ่งยาทั้ง 2 ชนิด เป็นยาจากสมุนไพรธรรมชาติ 100%
ปัจจุบัน นอกจาก ดร.ช้าง จะเป็นกรรมการผู้จัดการ บริหารงานหลักอยู่ที่ CAPP แล้ว ยังช่วยงานผู้ใหญ่ในพรรคการเมือง โดยไม่ได้ทิ้งความรู้การวิเคราะห์และการลงทุนแต่อย่างใด ด้วยการเป็นนักลงทุนเขาเรียกตัวเองว่าเป็นนักลงทุนที่สนใจปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดยเฉพาะสนใจหุ้นที่มีสตอรี (เรื่องราว) เน้นการเติบโตสูง
“ผมไม่ใช่นักเทคนิคคอล แต่เป็นนักลงทุนระยะยาว แต่ละปีผมเทรดหุ้นไม่เกิน 45 ครั้ง เน้นหุ้นพื้นฐานดี มีการเติบโตสูงเพราะเจ็บมาเยอะ เช่น กองทุนที่ถือเกิน 10 ปี ความเสี่ยงเป็นศูนย์ หรือไม่มีความเสี่ยง ผลตอบแทนที่ได้มาเป็นเท่า การไม่เทรดดิงบ่อยๆ ทำให้มูลค่าพอร์ตจากหลักสิบล้าน ตอนนี้ใกล้ 3 หลัก หรือ 100 ล้านบาท”
หลักการลงทุนของ ดร.ช้าง มี 100 ทุ่ม 100 โดยมีนโยบายว่า ให้เงินวิ่งทำงานแทน การฝากธนาคารทำให้เกิดรายได้น้อยที่สุด ซึ่งปี 2556 นี้ ไม่มีความกังวลใดๆ หรือความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงของเขาคือ การร้อนเงิน ดังนั้นการถือ (หุ้น) ยาวๆ ได้ จึงไม่มีความเสี่ยง และไม่ยุ่งกับหุ้นที่ไม่มีสตอรีหนุน อย่างน้อยๆ ปีนี้ ผลตอบแทนต้องได้ 30% ขึ้นไป เพราะมั่นใจตลาดไป 1,700 จุด โดยมองประเด็นระดับโลก จากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวดีขึ้น วิกฤตการเงินยูโรโซนไม่หายขาด แต่เป็นมะเร็งที่ต้องให้คีโมไปเรื่อยๆ เอเชีย ยังเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุนที่สุด การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้เกิดแรงซื้อในประเทศ ซึ่งเป็นแรงซื้อที่แข็งแรง
ดร.ช้างทิ้งทวนหุ้นกลุ่มน่าสนใจ ได้รับผลดีจากโครงการขนาดใหญ่ เมกะโปรเจกต์ คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้าง และดัชนีจะไป 1,700 จุดได้ ต้องมีกลุ่มธนาคารและพลังงาน ช่วยกันดัน
“หุ้นตงฮั้ว (TH) กำลังจะเปลี่ยนไปทำพลังงาน เป็นดีลที่เจ๋ง” ดร.ช้าง ทิ้งปริศนาก่อนจบการสนทนาครั้งนี้