posttoday

JMT เล็งซื้อหนี้เน่ารถคันแรกเข้าพอร์ต3,000ล.

28 มีนาคม 2556

JMT คาด รถคันแรกทำหนี้เสียพุ่ง คาดซื้อหนี้เพิ่มจากโครงการนี้ 3,000 ล้าน หลังเข้าซื้อหนี้เพิ่มจากธนชาต 44.34 ลบ.

JMT คาด รถคันแรกทำหนี้เสียพุ่ง คาดซื้อหนี้เพิ่มจากโครงการนี้ 3,000 ล้าน หลังเข้าซื้อหนี้เพิ่มจากธนชาต 44.34 ลบ.

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส  หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง เปิดเผยว่า  ภาพรวมตลาดสินเชื่อปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยหนี้กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิตมีอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา มีมูลหนี้เสียในระบบมูลค่าราว 4.7 หมื่นล้านล้านบาท และคาดว่าในปีนี้มูลหนี้เสียจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 5.6 หมื่นล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นโอกาสของบริษัทฯ ให้มีแนวโน้มเติบโตขึ้นได้อีกมาก รวมไปถึงโครงการรถคันแรก ที่คาดว่าจะมีหนี้เสียอยู่ที่ราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะเข้าไปซื้อหนี้เสียจากโครงการดังกล่าวนี้ประมาณ 3 พันล้านบาท  เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลงานบริษัทฯ ในปีนี้ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ มีรายได้เติบโตราว 25-30%  จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 393.74 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง จากปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 109.83 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพกับ ธนาคารธนชาต เพื่อนำมาบริหารและติดตามเร่งรัดชำระหนี้ และสามารถชนะการประมูลซื้อหนี้ด้อยคุณภาพดังกล่าว โดยได้ลงนามในสัญญาซื้อโอนสิทธิเรียกร้องลูกหนี้กับธนชาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมูลค่าการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในครั้งนี้ มีราคาซื้อเท่ากับ 44.34 ล้านบาท หรือเท่ากับ 6% ของมูลค่าสินทรัพย์รวมของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งคำนวณตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน โดยคำนวณจากงบการเงินรวมของบริษัท สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555

อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณมูลหนี้ด้อยคุณภาพสะสมในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556)  ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้ทำการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารแล้วมูลค่า 94.35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.68%  โดยเมื่อรวมกับการซื้อหนี้รอบล่าสุดที่ 44.34 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารรวมเท่ากับ 138.69 ล้านบาท หรือ 18.68% ของมูลค่าสินทรัพย์รวมของบริษัทและบริษัทย่อย

ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่ามูลค่าการลงทุนล่าสุด บริษัทฯ จะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน อยู่ที่ประมาณ 10-12% ต่อปี ซึ่งจัดว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสูงกว่าอัตราต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ชำระมูลหนี้ทั้งหมดที่ซื้อมาในครั้งนี้เป็นเงินสดเรียบร้อยแล้วในวันที่ทำสัญญา โดยเงินลงทุนในการซื้อหนี้ครั้งนี้ มาจากแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน

“หนี้จากธนาคารธนชาตมูลค่า 44.34 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตที่มาจากธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งมูลค่าที่ประมูลได้ถือว่าอยู่ในระดับที่พอใจ  และในเบื้องต้น คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนจากการเข้าประมูลซื้อหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเพิ่มเติมอีกในไตรมาส 2/56 นี้  อีกทั้ง บริษัทฯ มีแผนเข้าประมูลโครงการซื้อหนี้ เพิ่มเติมอีกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าทั้งปี 2556 จะมีพอร์ตซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหารอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนในการซื้อหนี้ประมาณ 500 ล้านบาท” นายปิยะ กล่าว