ฮอนด้า CR-Z สปอร์ต ไฮบริด รักโลก
ปรบมือให้กับการประหยัดของเครื่องยนต์ไฮบริดครับ เพราะอัตราสิ้นเปลืองอยู่ในระดับประมาณ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร
ปรบมือให้กับการประหยัดของเครื่องยนต์ไฮบริดครับ เพราะอัตราสิ้นเปลืองอยู่ในระดับประมาณ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร
โดย...นิธิ ท้วมประถม
รถสปอร์ต 2 ประตู สีขาวแสนสวย ขนาดกระทัดรัด ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ ของบริษัท ทีเอสแอล ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระรายใหญ่ อนาคตไกล อีกแห่งหนึ่งที่กำลังสร้างความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก ที่บริษัท เอสอีซี กรุ๊ป ถอยหลังออกจากตลาดผู้นำเข้าอิสระไปอย่างเจ็บปวด จอดรอผมอยู่ ที่โชว์รูม บริเวณปากซอยทองหล่อ
รถคันนี้ เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจาก ฮอนด้า CR-Z รถสปอร์ต 2 ประตู เครื่องยนต์ไฮบริด คันแรกของ ฮอนด้า ที่ ทีเอสแอล เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
เห็นเพียงแค่รูปร่างหน้าตา ของฮอนด้า CR-Z ใจก็แทบละลายแล้วครับ รถอะไรสวยจริงๆ เท่ หน้าดู และก็เป็นจริงอย่างที่คาด เมื่อรับกุญแจจาก เจ้าหน้าที่ของ ทีเอสแอล แล้วขับปร๋อ ออกจากโชว์รูม ก็กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนบนท้องถนนทันที
แหม จะไม่ให้มองได้ยังไงครับ สปอร์ต 2 ประตู แบบรูปลิ่มคันเล็กๆ หน้าตาดุดันอย่างนี้ มีให้เห็นทีไหน แค่ไฟหน้าแบบ ไฟหน้า Projector หลอด HID แถมยังมีหลอดไฟ LED running daylight รอบๆ อีก ยังไม่รวมด้านท้าย ที่มีไฟเบรก LED ดวงที่สาม บนฝาท้ายด้วย เฉี่ยวจริงๆ ครับ
เอาเป็นว่ารูปร่างภายนอกนั้นดูจากภาพประกอบก็แล้วกันครับว่า แจ่ม แค่ไหน
และก่อนที่จะก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร ก็ไม่ต้องกดรีโมทให้ยุ่งยาก เพราะรถสมัยใหม่เดี๋ยวนี้ใช้ระบบ Smart Entry พร้อมปุ่มเปิดปิดประตูทั้งสองฝั่ง เพียงแค่พบกุญแจไว้ในกระเป๋าแล้ว เดินมากดปุ่มที่ประตู ล็อค ประตูก็จะเปิดออกทันที แต่ถ้ากดครั้งเดียว ล็อคจะเปิดเฉพาะด้านคนขับนะครับ
หากมีการ ปรับกระจกมองข้าง มองหลัง ให้เหมาะกับระดับสายตา ก็เป็นอันเสร็จพิธี ที่จะพาเจ้า ฮอนด้า CR-Z ออกไป พิสูจน์ตัวเองเสียหน่อยว่ามีดีอะไรบ้าง
เพราะขนาดห้องโดยสารที่ค่อนข้างจะกระทัดรัด เหมาะกับการไปไหนมาไหนเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นครับ ส่วนเบาะหลัง ที่มีอีก 2 ที่นั่งนั้น เอาไว้วางกระเป๋าถือของสาวๆ ที่นั่งข้างๆ จะเหมาะกว่าที่จะมีเพื่อนโดยสารไปด้วย แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็พอจะนั่งไปได้ครับ แต่ต้องทนคางติดเข่า
ลองขยับตัวให้เข้ากับเบาะที่ค่อนข้างจะสปอร์ตนิดๆ แล้วเริ่มพิจารณาดูภายในของ ฮอนด้า CR-Z แล้วก็ต้องแอบกรี๊ดในใจ เพราะดูอลังการ แอนด์ ไฮเทค เหลือเกิน โดยเฉพาะมาตรวัดความเร็ว ที่เป็นตัวเลขดิจิตอล สวยมากครับ แถมยังสามารถเปลี่ยนสีได้ตามโหมดการขับเราได้อีกด้วย
หันไปทางหน้าปัดวิทยุ เป็นจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับ DVD, CD, MP3, AM/FM ได้หมด แต่ส่วนของ AM/FM ต้องทำใจครับ เพราะรถนำเข้าวิทยุก็เป็นคลื่นสั้น รับคลื่นวิทยุของไทยได้ไม่กี่ช่อง ก็ต้องพึ่งเครื่องเล่นซีดี แทน ก็พอแก้ขัดไปได้ แถมมีช่องให้เสียบสาย USB และ ipod ให้อีกด้วย แต่น่าแปลกที่ผมลองเสียบทั้งสาย USB และ ipod แล้วจอแสดงผลกลับขึ้นคำว่า no data เลยเซ็งๆไปนิดหน่อย
นอกจากนี้ยังมีระบบเนวิเกเตอร์แบบ HDD Navigation System ที่ข้อมูลเป็นญี่ปุ่นล้วนๆ รวมถึงภาษาด้วย เวลาเปิดระบบเนวิเกเตอร์ เลยรู้สึกคล้ายๆ กับกำลังดูหนัง AV ญี่ปุ่น ยังไงยังงั้น ซึ่งจุดนี้ไม่น่ามีปัญหา โหลดข้อมูลแผนที่ดาวเทียมของไทยเข้าไป ก็น่าจะจบ และยังมีระบบเชื่อมต่อ Hands-Free แบบไร้สายผ่าน Bluetooth ลำโพง 6ตัว
พวงมาลัยสปอร์ต แบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแท้ กระชับมือดีไม่น้อย มือกระชับพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์เป็น D แล้ว ออกตัวทันทีครับ เพราะอยากรู้เหลือเกินว่า เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร ที่เป็นเครื่องยนต์ไฮบริดด้วยนั้น จะตอบสนองได้ดีเหมือนกับรูปร่างหน้าตาหรือเปล่า
และก็ได้รู้ครับว่า เจ้าเครื่องยนต์ LEA-MF6 แบบ I-VTEC+IMA ที่ให้แรงม้า 113 แรงม้าที่รอบเครื่องยนต์ 6,000 รอบ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังอีก 14 กิโลวัตต์ ที่ 1,500 รอบต่อนาที นั้นทำงานได้อย่างลงตัวครับ เพราะเจ้า CR-Z นั้นพุ่งปรี๊ด ออกไปได้อย่างที่ใจหวัง ออกตัวดีกว่ารถยนต์เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ที่ขับๆ กันอยู่อย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
และทันทีที่รถจอดหยุดนิ่งอยู่กับที่ เครื่องยนต์จะดับทันที และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานแทนที่ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิ ก็ยังทำหน้าที่ให้รถยังเย็นเฉียบอยู่เหมือนเดิม แถมการตัดระบบการทำงานจากเครื่องยนต์ไปเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า หรือจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปเป็นเครื่องยนต์นั้นนุ่มนวลแบบไม่รู้สึกเลยครับ ระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัตินี้ ยิ่งรถติดๆ ยิ่งประหยัดครับ พอรถเริ่มเคลื่อนตัว ผมก็เปลี่ยนเกียร์เป็น D กดคันเร่งอีกครั้ง เครื่องก็ติดขึ้นมาใหม่ ไม่มีปัญหาครับ
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า นั้นจะทำงานช่วยเครื่องยนต์ในช่วงของการเร่งเครื่องครับ ทั้งในช่วงความเร็วต่ำ และในช่วงความเร็วสูงครับ ซึ่งถือว่าช่วยในเรื่องของความประหยัดได้มากไม่ใช่น้อยทีเดียว สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่ต้องเจอกับรถติดอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งการใช้งานในเมืองนั้น ปรบมือให้กับการประหยัดของเครื่องยนต์ไฮบริดครับ เพราะอัตราสิ้นเปลืองอยู่ในระดับประมาณ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร
ส่วนนอกเมืองนั้น ผมใช้ความเร็วในระดับ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยืนพื้น ก็ต้องพบกับความประทับใจในเรื่องของช่วงล่าง ที่ยังนิ่งอยู่มาก นิ่งแบบไว้ใจได้ จนทำให้ผมต้องกดคันเร่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่ 192 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ไม่สามารถเร่งเพิ่มขึ้นได้ ทำให้รู้ว่าความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 192 กม./ชม.
ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องยนต์ระดับ 1,500 ซีซี ตัวนี้ จะมีอัตราเร่งที่ไว้ใจใช้ได้เลยครับ ส่วนหนึ่งมาจากกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่เข้าไปช่วยเร่งเครื่องด้วย โดยเฉพาะในความเร็วระดับ 120-130 กม./ชม. นั้น แล้วยังต้องการเร่งแซง ก็ไปได้เลยครับ ไม่ต้องลุ้นเร่งแซงให้เหงื่อเหนียวมือ
การเร่งแซง ที่ผมบอกนั้น เป็นการเร่งแซงในโหมดการขับขี่แบบประหยัดนะครับ ยังไม่ได้ปรับโหมดให้ไปเป็น ปกติ หรือ สปอร์ต เพราะโหมดขับขี่นั้น สามารถปรับได้ 3 แบบ ตามสไตล์การขับขี่ ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้น ก็คือ รอบเครื่องยนต์ในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละเกียร์นั้นจะลากรอบจัดขึ้น
ซึ่งผมเองนั้น ลองโหมดสปอร์ต ดูแล้วรู้สึกว่าจะดุดันไปนิด ลากรอบจัดไปหน่อยในแต่ละเกียร์ ขับแล้วไม่ค่อยสบายแต่สนุกดีครับ เพราะปรู๊ดปร๊าด ไม่น้อยทีเดียว
ส่วนใหญ่ผมจะใช้โหมดประหยัด หรือ economy แล้วใช้การเปลี่ยนเกียร์ ที่มีแป้นให้เปลี่ยนเกียร์ อยู่ด้านหลังพวงมาลัย แค่อยากเร่งแซงก็ดึงแป้นเข้าหาตัว แค่นี้รอบเครื่องยนต์ก็พุ่งปรี๊ดแล้วครับ เร่งแซงไม่มีปัญหาครับ ทั้งในช่วงความเร็วต่ำ และความเร็วสูง สบายใจได้ แถมหากต้องการขับแบบปกติทั่วไปก็นิ่มนวลดีครับ
ที่ผมว่านิ่มนวลนั้นคือ การเปลี่ยนเกียร์ ของ ฮอนด้า CR-Z นะครับที่นิ่มนวลดีเหลือเกิน ซึ่งต้องยกประโยชน์ให้กับ ระบบเกียร์ CVT ที่ทำหน้าที่เป็นอย่างดี
ด้านช่วงล่างนั้น หนึบเกินกว่าที่คิดว่ารถยนต์เครื่องยนต์เพียงแค่ 1,500 ซีซี นั้นจะมีช่วงล่างที่ดีขนาดนี้ นี่แหละครับ รถยนต์นำเข้า คุณภาพต่างกันลิบลับกับรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ แต่จะว่าไป ราคาก็แตกต่างกันลิบลับตามไปด้วย
ผมขับเจ้า CR-Z ด้วยความเพลิดเพลิน ครับ เพราะคล่องตัวดีเหลือเกินทั้งในเรื่องของอัตราเร่ง การเข้าจอดในที่แคบๆ กับวงเลี้ยวแค่ 5 เมตร ทำให้สบายมากสำหรับซอกซอยต่างๆ หรือกลับรถในที่แคบๆ ส่วนเรื่องการเก็บเสียง ถือว่ายอดเยี่ยมครับ แม้ว่าจะขับที่ความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตร เสียงเครื่องยนต์ หรือเสียงลม ก็ไม่ได้เข้ามารบกวนประสาทหูให้น่ารำคาญอะไรมากนัก
ด้านระบบความปลอดภัยก็มีมาให้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้า พนักพิงถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า พนักพิงศีรษะรองรับการกระแทกบริเวณต้นคอ(Active Headrest) ระบบกระจายแรงเบรก(EBD)ระบบช่วยการทรงตัว (VSA) เข็มขัดนิรภัย ELR พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ จุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กตามมาตรฐาน ISOFIX ระบบกันขโมยพร้อมกุญแจนิรภัย Immobilizer ประตูล็อคอัตโนมัติเมื่อรถเคลื่อนที่
สำหรับอัตราการสิ้นเปลืองนั้น อยู่ในระดับประมาณ 15 กม./ลิตร ซึ่งผมถือว่าผ่านนะครับ เมื่อเทียบกับความหนักหน่วงของเท้าผม ที่ค่อนข้างจะผิดธรรมดาไปนิด
เฮ้อ...ยิ่งขับยิ่งชอบ แต่เมื่อมองราคาที่อยู่ที่ 2.5 ล้านบาทแล้ว ก็ต้องหันกลับไปขับฮอนด้า แจ๊ส เหมือนเดิมดีกว่า....