โกดัก (Kodak)

07 พฤษภาคม 2557

เมื่อกล่าวถึง โกดัก (Kodak) ผู้คนทั่วไปจะนึกถึงฟิล์มถ่ายภาพที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมทั่วไปในอดีต แต่ปัจจุบันกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มได้ถูกกล้องถ่ายรูปดิจิทัลเข้ามาแทนที่ ทำให้ธุรกิจฟิล์มถ่ายภาพต้องซบเซาแทบจะเลิกกิจการ

เมื่อกล่าวถึง โกดัก (Kodak) ผู้คนทั่วไปจะนึกถึงฟิล์มถ่ายภาพที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมทั่วไปในอดีต แต่ปัจจุบันกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มได้ถูกกล้องถ่ายรูปดิจิทัลเข้ามาแทนที่ ทำให้ธุรกิจฟิล์มถ่ายภาพต้องซบเซาแทบจะเลิกกิจการ

นักประดิษฐ์ฟิล์มม้วน จอร์จ อีสต์แมน (George Eastman) ชาวอเมริกัน เป็นผู้เริ่มก่อตั้งโกดัก (Kodak) หรือชื่อเต็มว่า บริษัท อีสต์แมน โกดัก (Eastman Kodak Company) เมื่อปี ค.ศ. 1889 ที่เมืองรอเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก โดย จอร์จ ใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า โกดัก (Kodak) เพราะมีความหมาย ชื่อสั้น อ่านออกเสียงและจดจำง่าย จอร์จ อีสต์แมน ได้ทุ่มเทการผลิตฟิล์มม้วนที่มีความยืดหยุ่นและโปร่งแสง รวมถึงประดิษฐ์กล้องโกดักอันแรกที่ออกแบบสำหรับใช้กับฟิล์มม้วนโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ โกดักได้ผลิตวัสดุเคมีภัณฑ์, วัสดุการถ่ายภาพ และได้รับการจดสิทธิบัตรฟิล์มแบบม้วนด้วย

ในยุคทศวรรษ 1970 โกดักประสบความสำเร็จมากที่สุดในการขายฟิล์มทั้งในอุตสาหกรรมการถ่ายภาพและอุตสาหกรรมหนังภาพยนตร์ โดยร้อยละ 90 ของฟิล์มที่ใช้ในอเมริกาเป็นของโกดัก

สิ่งที่ทำให้โกดักประสบความสำเร็จอย่างมาก คือ หลักการขายแบบใบมีดโกน (RazorBlade Strategy) เน้นการขายกล้องราคาถูก แต่หวังรายได้จากการขายฟิล์ม น้ำยาเคมีและกระดาษอัดรูป

แม้ว่ากิจการฟิล์มสำหรับกล้องถ่ายภาพจะเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของโกดัก กล้องถ่ายรูปดิจิทัลอันแรกได้ถูกคิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นโดยบุคลากรของโกดัก แต่วางจำหน่ายในชื่อทางการค้าว่า Apple โดยใช้ชื่อว่า Quick Take และออกวางจำหน่ายในปี 1994

แทนที่โกดักจะรีบใช้จังหวะก้าวในช่วงนั้นพัฒนาเพื่อผลิตกล้องถ่ายรูปดิจิทัล และพัฒนาธุรกิจที่ต่อเนื่องอย่างจริงจัง แต่ด้วยความไม่มีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโกดักเองที่ปฏิเสธกล้องดิจิทัล ด้วยเกรงว่าจะมาแย่งตลาดฟิล์มของตัวเอง ทำให้เลือกที่จะปฏิบัติไปตามแผนธุรกิจเดิม โดยไม่สนใจว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคของเทคโนโลยีดิจิทัลแล้ว

ในที่สุดกล้องถ่ายรูปดิจิทัลได้เข้าแทนที่กล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์ม กว่าโกดักจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว ก็เสียส่วนแบ่งตลาดไปเกือบทั้งหมด

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของกล้องดิจิทัล ได้แก่ ร้านดิจิทัลมินิแล็บเริ่มแพร่หลายและมีราคาถูกลง การปรับราคากล้องดิจิทัลลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นพัฒนาคุณภาพของกล้องให้ดียิ่งขึ้น ภาษีนำเข้าลดลงจาก 30% เหลือ 0% และการใช้งานของกล้องสะดวกขึ้น

ช่วงเวลาที่ถือเป็นจุดวิกฤตต่ำสุดของโกดักเกิดขึ้นในช่วงปี 1997 ที่คู่แข่งรายใหญ่อย่าง แคนนอน, นิคอน และฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มผลิตกล้องดิจิทัลออกมาเปิดตลาดกล้องยุคใหม่แทนการใช้ฟิล์มแบบม้วน เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับตลาดโทรศัพท์มือถือที่พัฒนาเป็นแบบถ่ายรูปได้ จนกลายเป็นตลาดของสมาร์ทโฟนที่ครองตลาดทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ ทำให้ตลาดของโกดักถูกบีบให้เล็กลงไปในเวลาอันรวดเร็ว

สภาพที่ตกอยู่ในภาวะถดถอยและมีภาระหนี้สูง เมื่อเดือน ม.ค. 2012 โกดักจึงตัดสินใจยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายและได้ทำแผนขอฟื้นฟูกิจการเพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ และถูกจับตาจากทั่วโลกว่าธุรกิจฟิล์มของโกดักจะกลับมายืนผงาดอยู่ในแถวหน้าของธุรกิจภาพถ่ายได้หรือไม่

ในช่วงเวลาของการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อฟื้นฟูกิจการ โกดักตัดสินใจขายสิทธิบัตรทางเทคโนโลยีของตัวเอง รวมทั้งกิจการหลักธุรกิจภาพถ่ายบุคคล รูปเอกสารกิจการผลิตฟิล์มขายปลีก กระดาษอัดรูป และร้านถ่ายภาพขนาดเล็กอีกกว่าแสนแห่งทั่วโลก เพื่อสร้างรายได้นำไปชำระหนี้

และเปลี่ยนเป็นบริษัทที่ให้บริการทางเทคโนโลยีด้านภาพถ่ายในการทำบรรจุภัณฑ์, การพิมพ์เพื่อการใช้งาน, การสื่อสารกราฟฟิก การพิมพ์เชิงพาณิชย์แบบเต็มตัว

บทเรียนจากความสำเร็จและความผิดพลาดของโกดัก ทำให้เห็นว่าแม้โกดักมีโอกาสเป็นเจ้าแรกที่จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจกล้องถ่ายรูปดิจิทัล แต่กลับไม่ใช้โอกาสและจังหวะทองที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ จนต้องประสบความล้มเหลว เพียงแค่เพราะการขาดวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร

Thailand Web Stat