ปตท.พุ่งเป้าลุยต่างประเทศ
ปตท.วางกลยุทธ์ระยะ 14 ปี ทุ่มลงทุนเทคโนโลยีบุกต่างประเทศ วอนเลิกอุ้มแอลพีจี-เอ็นจีวี
ปตท.วางกลยุทธ์ระยะ 14 ปี ทุ่มลงทุนเทคโนโลยีบุกต่างประเทศ วอนเลิกอุ้มแอลพีจี-เอ็นจีวี
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ปตท. เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบทิศทางและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ประจำปี 2557 ซึ่งมีการจัดทำแผนวิสาหกิจและงบประมาณในช่วง 5 ปี ข้างหน้า (2558-2562) และการปรับกลยุทธ์องค์กรเพื่อสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ในระยะ 14 ปีข้างหน้า ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของ ปตท.ในปี 2571 โดยจะลงทุนด้านเทคโนโลยีให้มากกว่าปีละ 3%
นายปิยสวัสดิ์ ชี้แจงว่า สาระสำคัญของแผนวิสาหกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะเน้นผลักดันให้บริษัท ปตท.เป็นบริษัทพลังงานข้ามชาติชั้นนำ โดยวางเป้าหมายไว้ใน 3 ด้าน คือ 1.BIG การเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยจะต้องรักษา 1 ใน 100 ของบริษัทที่มียอดขายสูงสุดของโลก
2.LONG เป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน บรรลุเป้าหมายตามดัชนีวัดผลการเติบโตอย่างยั่งยืนจากตลาดหุ้นดาวโจนส์
3.STRONG เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีผลประกอบการในระดับชั้นนำของโลก
“การเติบโตของ ปตท.ที่ผ่านมา มาจากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศเป็นหลัก ทั้งการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อให้ได้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่ในระยะยาว ปตท.จะต้องสร้างองค์ความรู้ของตัวเองให้มากขึ้นด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ จึงมีการกำหนดให้ตั้งงบประมาณประจำปีเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีให้มากกว่า 3% และจะต้องเลิกพึ่งพาทรัพยากรในประเทศลดลง หันไปหาแหล่งพลังงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้น” ประธานกรรมการ ปตท. กล่าว
ขณะนี้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) บริษัทในเครือที่ทำหน้าที่จัดหาแหล่งพลังงาน ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อหาปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทดแทนปริมาณสำรองในประเทศที่เริ่มลดลง
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลในการอุดหนุนราคาพลังงานจนทำให้ ปตท.ต้องเข้าไปรับภาระปีละ 3 หมื่นล้านบาท จากการตรึงราคาเอ็นจีวี 2 หมื่นล้านบาท และชดเชยราคาแอลพีจี 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของ ปตท.ลดลง จึงไม่เห็นด้วยกับการใช้นโยบายนี้ เพราะจะทำให้ราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง