การเรียกหลักประกันการทำงานของลูกจ้างมีนายจ้างและลูกจ้าง

04 กันยายน 2557

หลายรายสอบถามมาเกี่ยวกับ การค้ำประกันการทำงานของลูกจ้าง การเรียกหลักประกันว่า นายจ้างสามารถทำได้หรือไม่ และตำแหน่งงานอะไรบ้างที่สามารถเรียกหลักประกันเพื่อประกันการทำงาน หรือประกันความเสียหายจากการทำงาน ทนายคลายทุกข์ขออธิบายข้อกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ได้มีการกล่าวถึงหลักเกณฑ์ในการเรียกหรือรับเงินหลักประกันการทำงาน ไว้ดังนี้

หลายรายสอบถามมาเกี่ยวกับ การค้ำประกันการทำงานของลูกจ้าง การเรียกหลักประกันว่า นายจ้างสามารถทำได้หรือไม่ และตำแหน่งงานอะไรบ้างที่สามารถเรียกหลักประกันเพื่อประกันการทำงาน หรือประกันความเสียหายจากการทำงาน ทนายคลายทุกข์ขออธิบายข้อกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ได้มีการกล่าวถึงหลักเกณฑ์ในการเรียกหรือรับเงินหลักประกันการทำงาน ไว้ดังนี้

โดยหลักการห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงาน ยกเว้นมีลักษณะหรือสภาพของงานที่เรียกหรือรับหลักประกันได้ ตามประกาศกระทรวงแรงงาน

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่นหรือการค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทำนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ทั้งนี้ลักษณะหรือสภาพของงานที่ให้เรียกหรือรับหลักประกันจากลูกจ้าง ตลอดจนประเภทของหลักประกัน จำนวนมูลค่าของหลักประกัน และวิธีการเก็บรักษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน หรือทำสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสียหายที่ลูกจ้างเป็นผู้กระทำ เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกหรือสัญญาประกันสิ้นอายุ ให้นายจ้างคืนหลักประกันพร้อมดอกเบี้ย ถ้ามี ให้แก่ลูกจ้างภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออก หรือวันที่สัญญาประกันสิ้นอายุ แล้วแต่กรณี

ลักษณะหรือสภาพของงานที่เรียกหรือรับหลักประกันได้ ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง พ.ศ. 2551 มีอยู่ด้วยกัน 7 ประเภท

ข้อ 4 ลักษณะหรือสภาพของงานที่นายจ้างจะเรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างได้ ได้แก่

(1) งานสมุห์บัญชี

(2) งานพนักงานเก็บหรือจ่ายเงิน

(3) งานควบคุมหรือรับผิดชอบเกี่ยวกับวัตถุมีค่า คือ เพชร พลอย เงิน ทองคำ ทองคำขาวและไข่มุก

(4) งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้างหรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจ้าง

(5) งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน

(6) งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ

(7) งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการคลังสินค้า ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่าทรัพย์ ให้เช่าซื้อ ให้กู้ยืม รับฝากทรัพย์ รับจำนอง รับจำนำ รับประกันภัย รับโอนหรือรับจัดส่งเงิน หรือการธนาคาร ทั้งนี้เฉพาะลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการที่ว่านั้น

ข้อ 5 หลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานมีสามประเภท ได้แก่

(1) เงินสด

(2) ทรัพย์สิน

(3) การค้ำประกันด้วยบุคคล

ข้อ 6 ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันเป็นเงินสด จำนวนเงินที่เรียกหรือรับต้องไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ

ข้อ 7 ในกรณีที่เงินประกันซึ่งนายจ้างเรียกหรือรับไว้ตามข้อ 6 ลดลง เนื่องจากนำไปชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจ้างตามเงื่อนไขของการเรียกหรือรับเงินประกัน หรือตามข้อตกลง หรือได้รับความยินยอมจากลูกจ้างแล้ว นายจ้างจะเรียกหรือรับเงินประกันเพิ่มได้เท่าจำนวนเงินที่ลดลงดังกล่าว

ข้อ 8 ให้นายจ้างนำเงินประกันฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น โดยจัดให้มีบัญชีเงินฝากของลูกจ้างแต่ละคน และให้แจ้งชื่อธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น ชื่อบัญชี และเลขที่บัญชี ให้ลูกจ้างทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่รับเงินประกัน

ค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้นายจ้างเป็นผู้ออก

ข้อ 9 ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันเป็นทรัพย์สิน ทรัพย์สินที่เรียกหรือรับเป็นหลักประกันได้ ได้แก่ ทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้

(1) สมุดเงินฝากประจำธนาคาร

(2) หนังสือค้ำประกันของธนาคาร

ทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้นต้องมีมูลค่าไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ โดยให้นายจ้างเป็นผู้เก็บรักษาหลักประกันไว้

ห้ามมิให้นายจ้างแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ลูกจ้างแก้ไขเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตาม (1) เป็นของนายจ้าง หรือของบุคคลอื่น

ข้อ 10 ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน โดยการค้ำประกันด้วยบุคคล วงเงินค้ำประกันที่นายจ้างเรียกให้ผู้ค้ำประกันรับผิดต้องไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวัน โดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ

ให้นายจ้างจัดทำหนังสือสัญญาค้ำประกันสามฉบับ โดยให้นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ค้ำประกันเก็บไว้ฝ่ายละฉบับ

ข้อ 11 ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันตามข้อ 5 หลายประเภทรวมกันเมื่อคำนวณจำนวนมูลค่าของหลักประกันทุกประเภทรวมกันแล้วต้องไม่เกินหกสิบเท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับ

ข้อ 12 ในกรณีที่นายจ้างได้เรียกหรือรับหลักประกันการทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้างเป็นทรัพย์สินหรือให้บุคคลค้ำประกัน ซึ่งลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานตามข้อ 4 แต่มิใช่ทรัพย์สินตามข้อ 9 หรือมีจำนวนมูลค่าของหลักประกันเกินจากที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ อยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้นายจ้างดำเนินการให้มีหลักประกัน ไม่เกินจำนวนมูลค่าของหลักประกันตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ทั้งนี้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ

ดังนั้น นายจ้างจะเรียกหลักประกันจากลูกจ้าง โดยฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้ นายจ้างมีความผิดทางอาญา ตามมาตรา 144 และสัญญาค้ำประกันการทำงานเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย ไม่อาจใช้บังคับได้นะครับ

Thailand Web Stat