posttoday

วาง3หลักรื้อกม.แข่งขัน

08 กรกฎาคม 2558

เป็นเวลา 16 ปีแล้ว ที่ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มีผลบังคับใช้ แต่ปรากฏว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถดำเนิน “คดี”

โดย...ทีมข่าวเศรษฐกิจภาครัฐ โพสต์ทูเดย์

เป็นเวลา 16 ปีแล้ว ที่ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มีผลบังคับใช้ แต่ปรากฏว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถดำเนิน “คดี” กับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้าข่ายทำการค้าที่ “ผูกขาด” และ “ไม่เป็นธรรม” ได้แม้แต่รายเดียว

จึงมีความพยายามผลักดันการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ และคาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในปีนี้

“สาเหตุที่ต้องมีการปรับปรุง พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ซึ่งบังคับใช้มาแล้ว 16 ปี แต่ไม่เคยดำเนินคดีกับรายใดได้เลย เนื่องจากกฎหมายมีจุดอ่อนในเรื่องการบังคับใช้ เช่น โครงสร้างของคณะกรรมการ (บอร์ด) ที่มี รมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นประธาน ซึ่งที่ผ่านมา รมว.พาณิชย์ จะมีภาระงานมาก ทำให้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการเพียงปีละ 1-2 ครั้ง” บุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าว

ในขณะที่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพและใช้เวลานานคือ เมื่อมีการเสนอเรื่องร้องเรียนเข้ามาให้บอร์ดพิจารณา หากบอร์ดรับเรื่องไว้สอบสวนจะต้องมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีมูลหรือไม่ จากนั้นจะเสนอกลับไปให้บอร์ดพิจารณาตัดสินว่าเรื่องที่ร้องเรียนมีมูลหรือไม่ ซึ่งบางเรื่องใช้เวลาถึง 3 ปี หากบอร์ดเห็นว่ามีมูลก็จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนมาพิจารณา ซึ่งตรงนี้ก็จะใช้เวลาอีก 3-4 ปี เมื่อรวมระยะในการดำเนินการต่างๆ ทำให้เรื่องที่ถูกร้องเรียนมาส่วนใหญ่หมดอายุความ 10 ปี

ที่สำคัญแม้ว่าบอร์ดจะเห็นชอบให้ส่งฟ้องคดี แต่จะต้องยื่นสำนวนให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้สั่งฟ้อง และหลายๆ กรณีอัยการส่งสำนวนกลับมาให้บอร์ดหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ทำให้การยื่ีนฟ้องคดียิ่งล้าช้าไปอีก

นอกจากนี้ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้าไม่ได้ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานแข่งขันทางการค้าไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาได้ เพราะหากจะลงไปทำการสืบสวนสอบสวนก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปดำเนินการแทน ส่งผลให้การดำเนินการสืบสวนสอบสวนมีขั้นตอนเพิ่มขึ้น 

เพื่อลดอุปสรรคการบังคับใช้กฎหมาย บุณยฤทธิ์ ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า โดยยึดหลัก 3 ประเด็น ได้แก่ 1.การปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมคือ จะกำหนดเงื่อนไขให้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจที่มีการแข่งขันกับภาคเอกชน ต้องเข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับที่มีการปรับปรุงแก้ไข แต่ได้มีข้อยกเว้นในกรณีที่รัฐวิสาหกิจดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และการสั่งตรึงราคาน้ำมันตามนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น

2.แก้ไขในเรื่องประสิทธิภาพ โดยแนวทางคือ แยกสำนักแข่งขันทางการค้าออกมาเป็นองค์กรอิสระ และต้องมีการสรรหาผู้ที่จะเข้ามาเป็นคณะกรรมการในสำนักแข่งขันทางการค้า เพื่อให้มีระยะเวลาในการดำเนินการได้อย่างเต็มที่กับเรื่องที่ถูกร้องเรียนเข้ามา

และ 3.การแก้ไขในเรื่องความอิสระขององค์กร คือ เนื่องจากพฤติกรรมแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจะมีโทษทางอาญา ดังนั้น จะต้องให้อำนาจคณะกรรมการแข่งขันสืบสวนสอบสวนเรื่องได้ด้วยตัวเอง โดยอำนาจจะเหมือนกับการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพราะที่ผ่านมาในการสืบสวนสอบสวนเรื่องที่ถูกร้องเรียนต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ขั้นตอนล่าช้าออกไป

พร้อมกันนั้น กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณาแก้ไขเกณฑ์ “ผู้มีอำนาจเหนือตลาดใหม่” โดยตั้ง “ตุ๊กตา” ว่าเดิมผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาดจะต้องมีส่วนแบ่งตลาด 50% ขึ้นไป และมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท จะลดส่วนแบ่งตลาดเหลือ 30% และมียอดขายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

“หลักการของกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้เน้นลงโทษใคร และปัจจุบันก็พบว่ามีผู้ประกอบการในประเทศที่มีอำนาจเหนือตลาดในแต่ละธุรกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายจะลงโทษไม่ได้ เพราะหากมีพฤติกรรมทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม หรือมีการฮั้วกันเพื่อกีดกันทางการค้าก็สามารถใช้อำนาจในมาตรา 29 ดำเนินการได้ แต่สุดท้ายก็มาติดตรงที่ว่าการดำเนินการต่างๆ ต้องใช้เวลามาก” บุณยฤทธิ์ ระบุ

ล่าสุด คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ อุตสาหกรรม และแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เสนอรายงานศึกษาแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ในทิศทางที่สอดคล้องกับกระทรวงพาณิชย์ เช่น คณะกรรมการแข่งขันต้องเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ให้รัฐวิสาหกิจที่แข่งขันกับเอกชนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ และกำหนดโทษให้มีทั้งเป็นโทษทางอาญาและโทษทางปกครอง เพื่อให้เกิดการยืดหยุ่นและบังคับใช้ได้ทันเหตุการณ์ เป็นต้น

เมื่อทั้งทางฟากฝั่งหน่วยงานราชการและ สนช.ต่างก็เห็นพ้องให้แก้ไขกฎหมายแข่งขันทางการค้า จึงต้องติดตามว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีท่าทีอย่างไรต่อการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้