Trust Me, I’m an ‘Engineer’
โดย...บุญสน
โดย...บุญสน
ประโยคล้อเลียนวิศวกรที่มีความมั่นใจตัวเองสูงสร้างสิ่งประดิษฐ์หรือผลงานออกมาแต่ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งาน แถมยังชักจูงหรืออธิบายให้เข้าใจไม่ได้ว่ามีพื้นฐานความคิดในการออกแบบเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเพื่ออะไรเลยบอกว่าเชื่อผมเถอะ ผมเป็นวิศวกรนะครับ (พวกคุณไม่รู้อะไรหรอก) และถูกนำไปใช้กับบุคลากรในวิชาชีพอื่นๆ ที่มีวิธีคิดแบบตัวเองเป็นศูนย์กลาง โดยเพียงเปลี่ยนคำว่า Engineer เป็นสาขาวิชาชีพนั้นๆ
คำว่า Engineer มีรากศัพท์มาจากคำว่า Engine หรือเครื่องจักรกล ทำให้ Engineer โดยพื้นฐานหมายถึงผู้ควบคุมดูแลเครื่องจักรกลดังนั้น คำว่า Engineering ที่แต่เดิมหมายความเพียงการประดิษฐ์เครื่องจักรกล ในปัจจุบันหมายถึงการออกแบบหรือการแก้ไขปัญหาที่มีมิติของวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ ความรู้เชิงประยุกต์ไปพร้อมๆ กัน ทำให้เราไม่มีโอกาสเห็นสิ่งก่อสร้างที่สามารถอยู่คงทนเป็นพันๆ ปี แต่ต้องใช้เวลาก่อสร้าง 2-3 ร้อยปีอีกต่อไป
ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์กลายเป็นปัจจัยหลักที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรกเสมอ หลักสูตรที่วิศวกรต้องเรียนเป็นวิชาพื้นฐานอย่างหนึ่งก็คือ Engineering Economics ซึ่งมีหลักคือการแก้ไขปัญหาด้วยการวิเคราะห์ปัญหาที่ต้นเหตุ และหาคำตอบจากความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ประกอบกับความพร้อมด้านเทคนิค
ในทางวิศวกรรม นอกจากการออกแบบหรือการประดิษฐ์ ยังต้องมีส่วนของกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ โดยคำจำกัดความคือการที่ได้ผลผลิตสูงที่สุดโดยใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่าที่สุด ซึ่งทรัพยากรอาจประกอบด้วย วัตถุดิบ เวลา แรงงาน และ เชื้อเพลิง ในขณะเดียวกัน ในทุกหนทางที่เป็นไปได้จะต้องพยายามที่จะลดขั้นตอนหรือตัดชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออก (คงจะยืดเยื้อเกินไปหากจะพูดถึงแง่มุมเปรียบเทียบระหว่าง Economic Efficiency กับ Engineering Efficiency)
ในทางกลับกัน การเพิ่มกระบวนการหรือขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เป็นการลดประสิทธิภาพและผลผลิตลงอย่างน่าเสียดาย หากจะยกตัวอย่างคงหนีไม่พ้นเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ที่สนามบินแห่งหนึ่งได้มีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ทำให้เกิดความโกลาหลอย่างมาก ในขณะที่สามารถเข้าใจได้ยากว่า ขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมาทำให้เป็นการเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างไร
สายการบินต่างๆ ต้องออกประกาศแจ้งผู้โดยสารให้มาถึงสนามบินไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งก่อนกำหนดเดินทาง (แต่ก็มีสายการบินหนึ่งที่ช่วยเสริมความวุ่นวายของสถานการณ์เพิ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจด้วยการที่ยังคงเกณฑ์ที่ไม่รับเช็กอินให้กับผู้โดยสารเกิน 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นคนประกาศว่าให้มาถึงสนามบินไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง) อย่างไรก็ดีต้องขอชมเชยผู้บริหารสนามบินแห่งนั้นที่ตัดสินใจกลับไปใช้กระบวนการเดิม โดยไม่กลัวเสียหน้าแต่อย่างไร
บางครั้งการหาคำตอบอาจต้องประกอบขึ้นจากการสังเคราะห์ปัญหา และนำเอาความรู้หลายสาขาวิชามาประกอบกันเพื่อที่จะได้คำตอบที่เหมาะสม มีเรื่องเล่าที่มุ่งเน้นไม่ให้หยุดคิดหาคำตอบ คือเรื่องลิฟต์ที่ตึกเอ็มไพร์สเตตเมืองนิวยอร์ก ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 1931 เป็นตึกที่สูงที่สุดด้วยความสูง 443 เมตร (381 เมตร เมื่อไม่นับเสาอากาศ) โจทย์ที่วิศวกรได้รับคือ ผู้ใช้อาคารมีความไม่พึงพอใจต่อเวลาที่ใช้ในการโดยสารลิฟต์ ประกอบกับอาคารนี้มีจำนวนชั้นมากถึง 102 ชั้น ด้วยขีดความสามารถของลิฟต์จาก OTIS และ ระบบไฟฟ้าของ Westinghouse สามารถทำความเร็วของลิฟท์ได้สูงสุดแค่ประมาณ 500 ฟุต/นาที (150 เมตร/นาที) นั่นหมายความว่าจากพื้นถึงชั้นสูงสุดน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 นาที ในขณะที่ต้องจอดตามชั้นต่างๆ เพื่อรับผู้โดยสารทำให้เวลาในการโดยสารยืดยาวออกไปอย่างมาก แต่นั่นคือความเร็วสูงสุดที่ทำได้อยู่แล้ว หากเปิดอาคารนี้เพื่อใช้งานต่อไปและไม่ต้องการให้ผู้ใช้งานไม่พึงพอใจ อาจจะต้องเปิดให้บริการเพียงครึ่งหนึ่งของตึก และส่วนที่เหลือคงต้องรอให้เทคโนโลยีมีความพร้อมก่อนจึงจะให้บริการได้
เจ้าของตึกไม่สามารถปล่อยให้เสียประโยชน์ทางการค้าไปนานขนาดนั้น จึงได้ลองเอาวิศวกรในสายกระบวนการผลิต (Industrial Engineer) เข้ามาช่วยหาทางออก จากกระบวนการวิเคราะห์ทำให้เห็นว่าการจอดรับผู้โดยสารในแต่ละชั้น ทำให้ความเร็วสูงสุดไม่มีความหมาย การลองปรับแยกกลุ่มของลิฟต์ที่ให้บริการกับผู้ใช้งานในแต่ละช่วงชั้นของอาคาร เพื่อให้มีช่วงเวลาที่ทำให้แตะระดับความเร็วได้แต่อย่างไรก็ตามเพียงแค่ลดปัญหาเท่านั้น จนกระทั่งมีการเสนอแนวทางที่สุดแสนจะไร้สาระโดยให้ติดตั้งกระจกในลิฟต์ (ที่แทบทุกอาคารทั่วโลกยังนำมาใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน) กลับกลายเป็นว่าคำบ่นทั้งหมดหายไปในทันที
สรุปได้ว่าการที่ผู้ใช้อาคารสามารถดูความเรียบร้อยของการแต่งกายก่อนที่จะเข้าสู่สำนักงาน (รวมทั้งอาจแอบมองสาวหรือหนุ่มที่ทำงานอยู่อาคารเดียวกัน) ทำให้ลดความรู้สึกเร่งรีบ ทั้งๆ ที่ลิฟต์ก็ยังสามารถทำความเร็วได้เท่าเดิมอยู่นั่นเอง
เชื่อผมเถอะครับ แล้วทุกอย่างจะดีเอง