ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
โดย...ทนายเดชา
โดย...ทนายเดชา
มีท่านผู้อ่านสอบถามมาเกี่ยวกับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกดำเนินคดีจำนำข้าวและอาจต้องรับผิดทางละเมิดในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ได้กระทำการไปด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง คดีนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน มีหลายคนสอบถามมายังทนายคลายทุกข์ว่า การกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงมีความหมายอย่างไร และผู้บังคับบัญชาจะต้องรับผิดหรือไม่อย่างไรในกรณีที่มีข้าราชการทุจริต กฎเกณฑ์ที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องรับผิดทางละเมิดร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา กฎหมายได้บัญญัติไว้อย่างไร ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ได้ชี้ผิดชี้ถูกในคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะคดียังอยู่ในชั้นศาล
ผมได้ไปศึกษาค้นคว้าคำพิพากษาของศาลฎีกาและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ศึกษาจากหนังสือรวมคำพิพากษาแพ่งพิสดาร พ.ศ. 2558 และตำราทางกฎหมายของหลายอาจารย์ โดยเฉพาะหนังสือของ ดร.ชูชาติ อัศวโรจน์ ที่ได้รวบรวมเกี่ยวกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคำพิพากษาของศาลฎีกาและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดไว้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาเสนอท่านผู้อ่านในวันนี้ เพื่อให้ความรู้กับประชาชนในความหมายของคำว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ประเด็นแรก ในกรณีมีข้าราชการทุจริต ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการนั้นจะต้องร่วมรับผิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยหรือไม่อย่างไรนั้นจะต้องพิจารณาก่อนว่า ผู้บังคับบัญชาคนนั้นได้มีการกระทำใดๆ อันเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการทุจริต หรือไม่ตามหลักเกณฑ์ในเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ถ้ามิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ต้องรับผิด (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 4879/2537 และฎีกาที่ 3656/2531)
ประเด็นที่สอง กรณีที่ถือว่าผู้บังคับบัญชาร่วมกระทำละเมิดด้วย ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผ่านมา เช่น ผู้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของทางราชการ หรือไม่ควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของทางราชการ หรือไม่ควบคุมดูแลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของทางราชการ จนเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกเงินทางราชการไป หรือรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ แต่ผู้บังคับบัญชาก็มิได้รายงานเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือตนขึ้นไปทราบเสียในทันที กลับปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุจริตเงินของทางราชการ เป็นการกระทำโดยละเมิด (อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 362/2538)
ประเด็นที่สาม ความหมายของคำว่ากระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
อาจารย์ ดร.ชูชาติ อัศวโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ได้ให้ความหมายไว้อย่างเข้าใจได้ง่ายและสมบูรณ์แบบว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 บัญญัติถึงคำประมาทเลินเล่อ มิได้บัญญัติถึงคำว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไว้ แต่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 8 วรรคหนึ่ง บัญญัติถึงคำว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไว้ มาตรา 8 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” ดังนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกด้วยความประมาทเลินเล่อ (มิใช่กระทำละเมิดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) หน่วยงานของรัฐไม่มีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ดังนั้น คำว่า “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” จึงมีความสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ ปัญหามีว่าอย่างไรเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
กรณีจะเป็นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจะต้องเป็นประมาทเลินเล่อเสียก่อน โดย “จะเป็นส่วนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างจงใจกับประมาทเลินเล่อธรรมดา” คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตอบข้อหารือกรมบัญชีกลางว่า การที่จะพิจารณาว่ากรณีใดจะเป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ้าหน้าที่หรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบทุกคน จนถึงคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์หรือศาล ส่วนอย่างไรเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละกรณีไปความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจะมีลักษณะไปในทางที่บุคคลนั้นได้กระทำไป โดยขาดความระมัดระวังที่เบี่ยงเบนไปจากเกณฑ์มาตรฐานอย่างมาก เช่น คาดเห็นได้ว่าความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ หรือหากใช้ความระมัดระวังสักเล็กน้อยก็คงได้คาดเห็นการอาจเกิดความเสียหายนั้น เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1788-1780/2518 กรณีโรงงานของจำเลย (กระทรวงการคลัง) เผาเศษปอ ทำให้มีควันดำปกคลุมถนนจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าเป็นเหตุให้มีรถขับมาชนท้ายรถโจทก์ ซึ่งจอดอยู่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดมาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่เปลี่ยนวิธีการเผาเศษปอจนเป็นกรณีที่จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.10/2552 อธิบายถึงการกระทำที่ถือว่าเป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ว่าหมายถึงการกระทำโดยมิได้เจตนา แต่เป็นการกระทำซึ่งบุคคลพึงคาดหมายได้ว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น และหากใช้ความระมัดระวังแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจป้องกันมิให้เกิดความเสียหายได้ แต่กลับมิได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นเลยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2522 เจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ไม่นำแผงมาปิดกั้นถนนในขณะที่ขบวนรถไฟจะแล่นผ่าน เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จะอ้างว่าวันเกิดเหตุพนักงานรถไฟนัดหยุดงาน ไม่สามารถหาคนมาปฏิบัติงานให้ทันท่วงทีได้เป็นเหตุสุดวิสัยหาได้ไม่ การรถไฟฯ ต้องร่วมรับผิด ดังนั้น ถ้าใช้ความระมัดระวังแม้เพียงเล็กน้อยก็ป้องกันความเสียหายได้ แต่กลับมิได้ใช้ความระมัดระวังถือว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง