เก็งกำไรค่าเงินบาท ง่ายๆ ทำได้จริง (2)
อย่างที่บอกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เก็งกำไรค่าเงินบาทไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่ไปซื้อธนบัตรสกุลเงินเหรียญสหรัฐมาเก็บไว้
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ sawaleet@posttoday.com
อย่างที่บอกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เก็งกำไรค่าเงินบาทไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่ไปซื้อธนบัตรสกุลเงินเหรียญสหรัฐมาเก็บไว้ หรือจะไปเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ หรือบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) แล้วก็นั่งรอเฉยๆ ให้เงินบาทอ่อนค่าไปจนถึงระดับที่น่าพอใจ ก็ค่อยนำเงินเหรียญสหรัฐที่เก็บไว้ออกมาขาย เท่านี้ก็กำไรแล้ว
แต่ยังเหลืออีกหลายวิธีง่ายๆ ที่จะหากำไรจากค่าเงินบาท แถมยังมีโอกาสได้กำไรมากกว่าแค่กำไรจากค่าเงินบาท (ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมใจว่า อาจจะขาดทุนก็ได้ ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง)
ซื้อทองคำ
การขึ้นลงของราคาทองคำในประเทศจะขึ้นกับสองปัจจัย คือ ราคาทองคำในต่างประเทศ กับอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะฉะนั้น ถ้าราคาทองคำต่างประเทศไม่ได้ขยับไปไหน แต่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เราจะได้กำไรจากการซื้อทองคำมาเก็บไว้
นอกจากนี้ เราอาจจะเลือกซื้อกองทุนทองคำที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จะได้กำไรจากการอ่อนค่าของเงินบาทเช่นเดียวกัน
เพราะถ้าดูจากผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนทองคำ กองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จะมีผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้
แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 26 พ.ย. 2558 กองทุนทองคำทั้งสองแบบจะยังขาดทุนกันทั้งคู่ก็ตาม แต่กองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจะขาดทุนกันอยู่ประมาณ 10% แต่ถ้าปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการ หรือไม่ป้องกันความเสี่ยง จะขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ ประมาณ 2-3%
ถ้าคิดจะซื้อทองคำมาเก็บไว้จริงๆ ต้องลุ้นกันหน่อย เพราะเวลาที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น ราคาทองคำต่างประเทศมักจะตกลง
แต่ถ้าถาม คมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เขาเชื่อว่า หลังจากนี้ราคาทองคำในตลาดโลกอาจจะนิ่งๆ อยู่แถวๆ 1,100 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ไปอีก 2-3 ปี เพราะฉะนั้นจะค่อยๆ ทยอยซื้อเก็บก็ได้ และอาจจะเป็นบวกขึ้นมาได้ ถ้าเกิดโชคร้ายเกิดการสู้รบระหว่างประเทศขึ้นมา
ซื้อกองทุนต่างประเทศ
จริงๆ แล้วในเวลาที่ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางอ่อนค่าแบบนี้ การออกไปลงทุนต่างประเทศในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ โดยที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน มีโอกาสได้กำไรจากค่าเงินทั้งนั้น
แต่ คมศร บอกว่า การลงทุนหุ้นยุโรปและหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจมากที่สุด เพราะทั้งยุโรปและญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ
นั่นเพราะมีธุรกิจที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก และถ้าค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น บริษัทที่ส่งสินค้าไปขายในสหรัฐจะได้กำไรมากขึ้น แม้ว่าจะได้รับเงินในรูปเหรียญสหรัฐเท่าเดิม เพราะเมื่อมาแลกกลับเป็นสกุลเงินท้องถิ่นจะได้เงินมากขึ้น ได้กำไรมากขึ้น และส่งผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย
นอกจากหุ้นแล้ว คมศร บอกว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปและญี่ปุ่นก็จะได้ประโยชน์แบบเดียวกัน
ทั้งการลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศทำได้ไม่ยาก เพราะสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แห่งไหนก็ได้ เพียงแต่ต้องเลือกกองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน หรือปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนเป็นคนบริหารจัดการ
ถ้าเป็นแบบนี้เราจะได้ “กำไรสองเด้ง” คือ ได้ทั้งกำไรจากการลงทุน และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
แต่ก็ต้องเผื่อใจเอาไว้สักหน่อย เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง เราอาจจะกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ขาดทุนจากการลงทุนก็ได้ ถ้าตลาดหุ้นไม่ได้บวกอย่างที่หวังไว้
หรือถ้าต้องการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ยังหวั่นใจกับการลงทุนที่มีความผันผวนอย่างหุ้น
สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำให้ลงทุนใน “ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ” เพราะมีความผันผวนของราคาน้อยมาก และไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐมากนัก
และเช่นเดิม คือ ต้องเป็นกองทุนที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน หรือปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการเอง เพื่อให้กองทุนมีโอกาสได้กำไรจากการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนอีกทางหนึ่ง
“ปกติแล้วค่าเงินบาทเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐจะมีความผันผวนประมาณ 10% ในแต่ละปี เพราะฉะนั้นถ้าผู้จัดการกองทุนสามารถจับจังหวะการลงทุนได้ถูกต้องก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 10% ต่อปีเช่นกัน” สมิทธ์ กล่าว
แม้ว่าตอนนี้จะมีกองทุนรูปแบบนี้อยู่เพียงกองทุนเดียว แต่ในไม่ช้าน่าจะมีอีกหลายกองทุนตามมา และเมื่อโอกาสกำไรง่ายๆ ใกล้ๆ มือแบบนี้ จะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ได้อย่างไร