สมาร์ทโฟนแข่งเดือด!!รับอานิสงส์ 4จี
ถือว่าเป็นปลายปีที่กลับมาดุเดือดอีกครั้งสำหรับตลาดสมาร์ทโฟนเพราะเชื่อว่า 4จี จะมาช่วยจุดพลุกำลังซื้อให้กลับมาดีอีกครั้ง
โดย...ทีมข่าวธุรกิจตลาดโพสต์ทูเดย์
ถือว่าเป็นปลายปีที่กลับมาดุเดือดอีกครั้งสำหรับตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นสินค้าไอทีประเภทเดียวที่มีกำลังซื้อดีต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นดีมากเหมือนเมื่อครั้งเปลี่ยนจากฟีเจอร์โฟนมาเป็นสมาร์ทโฟนยุคแรก โดยปลายปีนี้มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่า 4จี จะมาช่วยจุดพลุกำลังซื้อให้กลับมาดีอีกครั้ง
อรรคพงศ์ ลินพิศาล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานอุปกรณ์สื่อสาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค กล่าวว่า จากจำนวนลูกค้าทั้งหมดที่มีกว่า 25 ล้านราย มีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนของดีแทคประมาณ 3 ล้านเครื่อง ซึ่งลูกค้ากว่า 70% เป็นโทรศัพท์ที่รองรับ 3จี ที่เหลืออีก 30% จะใช้งานสมาร์ทโฟนที่รองรับ 4จี
“ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนปีหน้าคาดว่าน่าจะมีไม่น้อยกว่า 17-18 ล้านเครื่อง ซึ่งดีแทคยังคงจับตลาดลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มราคาต่ำกว่า 5,000 บาท จะเป็นเครื่องเฮาส์แบรนด์ ราคาระดับกลาง 5,000-1 หมื่นบาท โดยจะร่วมกับคู่ค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดที่ดีอย่างซัมซุง หรือออปโป้ ส่วนระดับไฮเอนด์ก็จะมีซัมซุงและไอโฟนครองตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่รองรับ 4จี ได้อยู่แล้ว”
ทั้งนี้ ในปี 2558 มีผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน 3จี เกือบ 70% อีก 30% เป็น 4จี แต่จากความพร้อมของการแข่งขัน เชื่อว่าปี 2559 จะสลับกันคือ มีสมาร์ทโฟน 4จี ถึง 70% ที่เหลือจะเป็น 3จี ซึ่งเชื่อว่าจากการแข่งขันที่ดุเดือดของทั้ง 3 โอเปอเรเตอร์ จะทำให้ราคาเครื่องในตลาดที่ตอนนี้อยู่ในระดับ 3,000 บาท มีโอกาสจะลดลงไปแตะ 2,500 บาทได้ไม่ยาก ขณะที่ดีแทคยังตั้งเป้ายอดขายในปีหน้าไว้ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านเครื่อง เท่ากับที่ทำได้ในปีนี้
ด้าน สุรินทร์ อมรชัชวาลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีเดีย-อินฟินิตี้ ผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือแบรนด์อาม่า เปิดเผยว่า จากการใช้งานโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงวัยทำให้บริษัทพยายามที่จะตีตลาดการใช้งานเครื่องสำหรับคนกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ช่วงปลายปี เป็นเพราะจังหวะของตลาดที่กำลังไปได้ดี ซึ่งอาม่าสมาร์ททั้ง 3 รุ่น ที่เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นนั้น น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้ดี
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า 4จี จะไม่มีผลกระทบกับบริษัท เนื่องจากความเร็วในการส่งสัญญาณอย่าง 4จี น่าจะเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่มีความคุ้นเคยด้านเทคโนโลยีมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นเป้าหมายหลักของแบรนด์อาม่า ที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยีมากนัก แค่ต้องการสื่อสารกับครอบครัวเท่านั้น แม้จะมีสมาร์ทโฟนหลายแบรนด์ออกหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่ได้กระทบกับตลาดมากนัก
นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 แบรนด์ที่เข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟนที่เจาะกลุ่มราคาระดับกลาง คือ โอบิ และเหม่ยซู ที่หวังอานิสงส์ 4จี และคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเครื่องที่มีดีไซน์โดดเด่น เชื่อว่าจะแย่งส่วนแบ่งตลาดได้ไม่น้อยกว่าหลักล้านเครื่อง
นีราจ โชฮาน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท โอบิ เวิลด์โฟน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพจากจำนวนผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเปลี่ยนผ่านจากยุคของ 3จี สู่ 4จี ยิ่งเป็นโอกาสในการบุกตลาด โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรกไว้ที่ 1 ล้านเครื่อง และระยะยาวจะสามารถมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 5% ของตลาดสมาร์ทโฟน 18 ล้านเครื่อง
เสี่ยว ลี ผู้จัดการฝ่ายขายเหม่ยซู เทคโนโลยี กล่าวว่า หลังจากเข้ามาชิมลางตลาดไทยด้วยการวางขายในงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มียอดขายเริ่มต้นที่หลายพันเครื่อง จึงวางแผนเข้ามาขยายตลาดในไทยอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยมีแผนจะตั้งสาขาในไทยช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า แต่ในระหว่างนี้ได้จำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับทางเว็บไซต์ลาซาด้าไปก่อน
“สมาร์ทโฟนรุ่นที่จะเข้ามาทำตลาดในไทยก่อนนั้น จะเป็นรุ่น M2 และ MX5 ราคาอยู่ที่ 3,990 บาท และ 10,990 บาท ตามลำดับ ซึ่งเราจะเข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่ต้องการความโดดเด่นด้านดีไซน์และระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง ฟลายมี 4.5 (Flyme OS 4.5) บนแอนดรอยด์ 5.1 ระดับราคาจะครอบคลุมตั้งแต่ 3,000-1 หมื่นบาท ทั้งยังมีแผนจะวางขายรุ่นแฟล็กชิปตระกูลโปร ราคาไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท เข้ามาเจาะกลุ่มไฮเอนด์ และสร้างความเชื่อมั่นด้วยการเปิดออฟฟิศอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกของปีหน้า”
เสี่ยว ลี ยังกล่าวอีกว่า การแข่งขันของตลาดสมาร์ทโฟนในไทย มีหลายปัจจัยทั้งจากการเปลี่ยนเครื่องจากฟีเจอร์โฟนมาเป็นสมาร์ทโฟน และเครือข่าย 4จี ก็เป็นตัวกระตุ้นให้คนต้องการเปลี่ยนเครื่อง ซึ่งเหม่ยซูมียอดขายปีที่ผ่านมาในจีนถึง 5 ล้านเครื่อง ยอดรวมปิดที่ 23 ล้านเครื่อง จึงมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 4-5% และการเข้ามาเปิดสาขาและขยายตลาดต่างประเทศจะเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ใหม่ๆ มากขึ้น แม้ว่าปีนี้จะมีรายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 10% แต่คาดว่าภายใน 5 ปี จะเพิ่มถึง 50%