ผู้ตรวจฯยื่นฟ้องปตท.-คลัง-พลังงานปมคืนท่อก๊าซไม่ครบ
ผู้ตรวจการฯแถลงฟ้องปตท.-กระทรวงคลัง-พลังงาน กรณีการคืนท่อก๊าซธรรมชาติไม่ครบตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
ผู้ตรวจการฯแถลงฟ้องปตท.-กระทรวงคลัง-พลังงาน กรณีการคืนท่อก๊าซธรรมชาติไม่ครบตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ตามที่ พ.ท.แพทย์หญิงกมลพรรณ ชีวพันธุ์ศรี และคณะได้ร้องเรียนขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริง กรณีการคืนท่อก๊าซธรรมชาติไม่ครบตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดและการนำท่อก๊าซซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินไปแสวงหาประโยชน์ของผู้ถูกร้องเรียน ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง รมว.คลัง กระทรวงพลังงาน รมว.พลังงาน อธิบดีกรมธนารักษ์ บมจ.ปตท. (PTT) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2555
สืบเนื่องจากศาลปกคองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.50 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ คือ คณะรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรี, รมว.พลังงาน และ PTT ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ PTT
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.50 ครม.มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการแบ่งแยกทรัพย์สิน อำนาจและสิทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยที่จะให้เป็นของกระทรวงการคลังตามคำพิพากษา โดย ครม.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและสิทธิตามหลักการดังกล่าวแล้วให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ทั้งนี้หากมีข้อโต้แย้งทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในการดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้มีข้อยุติต่อไป
การดำเนินการตามมติ ครม.ดังกล่าว กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ PTT ได้ร่วมกันเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในทะเลและบนบกที่เป็นทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งยังไม่ได้แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง รวมทั้งระบบท่อที่ได้ก่อสร้างในที่ดินของรัฐภายหลังการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน โดยไม่มีผลตอบแทนคืนให้แก่รัฐ
โดย PTT ได้รายงานผลการดำเนินการตามคำพิพากษาอันเป็นเท็จนี้ต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.51 ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพยืสินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิในการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ PTT ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครบถ้วนแล้ว
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ปรึกษาหารือและเห็นชอบร่วมกันกันแล้วมีความเห็นว่า กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ บมจ.ปตท. (PTT) ยังไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอบของมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.50 และไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
"หน่วยงานดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชนโดยไม่เป็นธรรม และมิได้รักษาผลประโยชน์ของชาติตามหน้าที่ของข้าราชการที่ต้องพึงปฏิบัติ มีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนและลัดขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญในการแบ่งแยกทรัพย์สิน ปล่อยปละละเลยมิได้เร่งรัด ติดตามทวงคืนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จนกระทั่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง" นายศรีราชา กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยและมีคำสั่งดังต่อไปนี้
1.ขอให้เพิกถอนมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.50 และวันที่ 10 ส.ค.53 ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์สิน ประกอบด้วย ที่ดินที่ได้จากการเวนคืน สิทธิการใช้ที่ดินเหนือที่ดินเอกชน และทรัพย์สินที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ระบุไว้ในคำพิพากษาของศาล คือ โครงการท่อบางปะกง-วังน้อย, โครงการท่อจากชายแดนไทยพม่า-ราชบุรี และโครงการท่อราชบุรี-วังน้อย รวมถึงโครงการท่อย่อย ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่ 30 ก.ย.44 ประมาณ 16,175 ล้านบาท เนื่องจากมติ ครม.ดังกล่าวเกิดจากการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จของ รมว.พลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6
2.ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ PTT ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินและโอนทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้กระทรวงการคลังตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 ก.ย.44 จำนวน 68,569 ล้านบาท ซึ่ง PTT ได้คืนไปแล้วประมาณ 16,175 ล้านบาท ดังนั้น PTT ยังคงต้องโอนคืนทรัพย์สินให้แก่กระทรวงการคลังอีกจำนวนไม่น้อยกว่า 52,393 ล้านบาท รวมทั้งค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่นใดจากการใช้ทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้แก่ ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์และทรัพย์สินอื่น และสิทธิหรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่ PTT ได้อาศัยใช้ประโยชน์ในการประกอบกิจการ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนต่อไป
3.เพิกถอนการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ PTT ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎ