posttoday

บีเอ็ม 530d รุ่นนำเข้า ซาลูนหรู...คู่ความมัน

04 สิงหาคม 2553

....นิธิ ท้วมประถม

ตลาดรถยนต์ระดับหรูของเมืองไทย ต้องเดือดระอุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ตัดสินใจเปิดตัวรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ใหม่ เพื่อมาหยุดความร้อนแรงของเมอร์เซเดสเบนซ์ อีคลาส ที่กำลังกวาดยอดขายกันอย่างสนุกมือ

บีเอ็มฯ ซีรีส์ 5 ใหม่นี้ถือเป็นรถที่ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ เพราะเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลาง ที่เน้นทั้งความสะดวกสบายและสมรรถนะในการขับขี่รวมไว้ในคันเดียวกัน

สำหรับในไทย บีเอ็มฯ ซีรีส์ 5 จะมีทั้งแบบนำเข้าจากต่างประเทศ หรือซีบียู เพื่อตอบสนองสำหรับลูกค้าที่ต้องการรถยนต์แบบที่ว่าไม่เหมือนใคร ออปชันเพียบ และได้เท่ก่อนคนอื่น โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ 535i ซึ่งก็คือรุ่นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 3.5 ลิตร และ 530d ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร แต่สนนราคาปวดตับเหลือเกิน แต่จะเป็นราคาเท่าไหร่ ไว้ตอนท้ายจะเฉลยให้ครับ

ส่วนรุ่นที่ประกอบในประเทศ จะเปิดตัวงานมหกรรมยานยนต์ที่เมืองทองธานีในช่วงปลายปีนี้ แต่จะมีแต่รุ่น 523i ไฮไลน์ และ 523i ธรรมดา แฟนๆ บีเอ็มฯ ก็รอกันหน่อยครับ แต่บอกได้เลยว่าคุ้มค่าการรอแน่นอน

หลังบีเอ็มฯ ประเทศไทยเปิดตัวซีรีส์ 5 รุ่นนำเข้าได้ไม่นาน ผมก็มีโอกาสได้ทดลองขับเจ้าซีรีส์ 5 ใหม่นี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ต้องขอบคุณทีมงานประชาสัมพันธ์ของบีเอ็มฯ ประเทศไทย ที่ทำงานกันได้อย่างรวดเร็วโดนใจดีจริงๆ ครับ

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า รูปร่างหน้าตาของบีเอ็มฯ ซีรีส์ 5 ใหม่นั้น บอกได้คำเดียวเลยครับว่า เฉี่ยวจริงๆ เป็นความเฉี่ยวที่ทำให้ซีรีส์ 5 นั้นดูวัยรุ่นมากขึ้น ดูเป็นหนุ่มขึ้นเป็นกองทีเดียว แถมยังมีความเป็นสปอร์ตในตัวไม่น้อย ซึ่งครั้งแรกที่ผมเห็นเจ้าซีรีส์ 5 ใหม่นี้แบบตัวเป็นๆ ยังต้องหยุดยืนดูเลยว่า เจ้าซีรีส์ 5 ใหม่นี้ ทำไมดูหนุ่มอย่างนี้

เริ่มตั้งแต่ความสูงของตัวรถที่ผมมองดูแล้ว มั่นใจว่าเจ้าซีรีส์ 5 ใหม่นี้ เตี้ยกว่ารุ่นเก่าอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้ดูสปอร์ตมากขึ้น แต่ด้วยฐานล้อที่ยาว ประกอบกับลายเส้นแนวขนานด้านข้าง ทำให้ซีรีส์ 5 นี้ดูเป็นผู้ดีไม่น้อยครับ ที่สำคัญแนวหลังคาที่ลาดเทลง ทำให้ดูเหมือนกับเป็นรถสปอร์ตคูเป้ หรือสปอร์ต 2 ประตู เลยครับ

ไฟหน้าเป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เพราะไม่ใช่เป็นแบบตาเหยี่ยวเหมือนซีรีส์ 5 เดิมแล้ว แต่คราวนี้กลายเป็นตาคนแล้วครับ เพราะเจ้าไฟหน้ามาพร้อมไฟวงแหวน LED ที่ดูเหมือนดวงตาคนกลมๆ เลยครับ เท่ดีเหมือนกันเวลาเปิดไฟหน้าตอนค่ำคืนแถมยังสว่างด้วยไฟแบบ ไบซีนอน อีกด้วย เอาเป็นว่าขับกลางคืนไฟเท่มั่กๆๆ

ผมเดินดูรอบๆ คันแล้วยังรู้สึกว่าเจ้าซีรีส์ 5 ใหม่นี้ดูสปอร์ตพอๆ กับซีรีส์ 3 จริงๆ เป็นเหมือนกับผู้บริหารที่ยังกระฉับกระเฉง แอ็กทีฟกับชีวิต ไม่ใช่แค่ประสบความสำเร็จ แต่ไร้เรี่ยวแรง

ถึงเวลาที่จะเข้าไปภายในรถเสียหน่อย ไม่ต้องเสียเวลากดรีโมตให้เสียบุคลิก เพียงแค่พกกุญแจไว้กับตัวแล้วเดินไปดึงก้านเปิดประตู เพียงเท่านั้นระบบล็อกก็จะเปิดให้เรียบร้อย ส่วนเวลาจะล็อกก็แค่เอามือจับที่ตัวเซ็นเซอร์ที่ก้านประตู ระบบก็จะล็อกประตูให้ทั้ง 4 บาน เนียนๆ ครับ เท่ซะไม่มี

เข้ามาในรถแล้ว ก็ต้องมานั่งๆ อยู่สักครู่ เพราะภายในดูแปลกตา ไฮโซไม่น้อยทีเดียว แต่ก็ยังคงความเป็นบีเอ็มฯ อยู่ไม่น้อยทีเดียว ความกว้างขวางนั้นบอกได้เลยว่าเหลือเฟือครับ ทั้งเบาะนั่งด้านหน้า และด้านหลังที่แสนจะกว้างขวาง ไม่อึดอัดครับ แม้ว่าผู้โดยสารตอนหลังจะมีขนาดใหญ่หน่อย ก็สบายๆ ครับ มีพื้นที่ยืดแข้งยืดขาได้สบายเลยครับ ท่านผู้บริหารไม่ต้องกังวลว่าเวลานั่งยืดอกอยู่ที่นั่งด้านหลังจะอึดอัด ตัดปัญหานี้ได้เลย แถมมีช่องแอร์ด้านหลังคอยเป่าไล่ความเครียดอีกด้วย

มายังที่นั่งตอนหน้ากันบ้าง พวงมาลัย มาตรวัดต่างๆ เด่นชัดถนัดตาดีเหลือเกินโดยเฉพาะจอคอมพิวเตอร์ออนบอร์ด ที่เป็นทั้งหน้าจอไว้คอยบอกการควบคุมอุปกรณ์ภายในรถ และเป็นจอเนวิเกเตอร์ไปด้วยในตัวนั้นมีขนาดใหญ่สะใจดีเหลือเกินครับ ผมชอบบบ... ยิ่งคิดว่าหากเปิดดีวีดีภาพยนตร์แอ็กชันมันๆ หน่อยละก็ สุโค่ยยย

พวงมาลัยหนัง 3 ก้านแสนจะกระชับมือ ตามสไตล์บีเอ็มฯ ที่มาพร้อมกับระบบมัลติฟังก์ชัน ที่ไว้คอยควบคุมเครื่องเสียง และระบบโทรศัพท์นั้นเป็นออปชันมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว มองเลยพวงมาลัย ก็จะพบกับมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ที่มีมาตรวัดอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ด้านล่างมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ ที่ในซีรีส์ 5 ใหม่นี้ เจ้ามาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองจะมีระดับอัตราสิ้นเปลืองที่ถือว่าเป็น Efficient Dynamics คืออยู่ที่เกิน 30 กิโลเมตรต่อลิตร จะเป็นไฟสีฟ้าขึ้นให้เห็น ซึ่งผมเองพยายามที่จะทำให้อัตราการสิ้นเปลืองไปอยู่ในระดับนี้ ก็ต้องเป็นช่วงที่ปล่อยคันเร่งเท่านั้น ส่วนช่วงอื่นหมดหวัง

ไล่สายตามาเรื่อยๆ มาสะดุดตาที่คันเกียร์ ที่ซีรีส์ 5 ใหม่นี้นำเกียร์แบบจอยสติก เข้ามาใช้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ใส่ไว้ในรุ่นท็อปๆ รุ่นอื่นมาสักระยะหนึ่ง เกียร์ระบบจอยสติกนี้ใช้งานค่อนข้างสะดวกครับ แค่เรียนรู้นิดหน่อยก็สบายแล้ว อย่างเวลาจะเข้าเกียร์ P จะไม่ใช่การดันคันเกียร์ขึ้นไปในตำแหน่งบนสุด เพียงแค่กดปุ่ม P บนคันเกียร์ เพียงเท่านี้ก็เข้า P ได้แล้ว ส่วนเวลาจะเปลี่ยนจาก P มาเป็น N หรือ D ก็เพียงแต่เหยียบเบรก กดปุ่มคลายล็อกที่คันเกียร์ ซึ่งอยู่บริเวณนิ้วโป้ง แล้วโยกเกียร์ลงมา จังหวะแรกจะเป็นเกียร์ N จังหวะที่สองจะเป็น D ครับ ส่วนเกียร์ถอยหลังนั้นต้องกดปุ่มคลายล็อกบริเวณนิ้วโป้ง แล้วโยกขึ้น 2 จังหวะก็จะกลายเป็น R ครับ

กดปุ่มสตาร์ต เสียงเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร ที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดในโลก ครางกระหึ่มแบบเบาๆ เหมือนเสียงแมวครางครับ แถมเครื่องยนต์ยังเดินค่อนข้างเรียบไม่สั่นเหมือนดีเซลรุ่นเก่าๆ ผมเชื่อว่าหากไม่บอกมาก่อนว่านี่คือเครื่องยนต์ดีเซล ผมว่าคนขับรถหลายคนไม่ทราบแน่นอนครับ

เปลี่ยนเกียร์มาเป็นเกียร์ D กดคันเร่งเพิ่มขึ้น เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เริ่มให้การตอบสนองขึ้นมาแล้วครับ เพราะเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตรรุ่นนี้ เป็นเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแถวเรียง ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา มีน้ำหนักแค่ 185 กิโลกรัมเท่านั้น และยังมีเทคโนโลยีอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันและเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมันด้วยหัวฉีด Piezo ที่สามารถฉีดน้ำมันด้วยแรงดันสูงถึง 1,800 บาร์ บอกได้เลยว่า เหยียบเป็นมา ครับมาพร้อมกับม้าที่มีอยู่ 245 ตัวเสียด้วย

อัตราเร่งสะท้านใจครับ เพราะแรงบิดมหาศาลมากถึง 540 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์แค่ 1,7003,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นรอบเครื่องยนต์สำหรับการใช้งานปกติ เพียงแค่กดคันเร่งนิดๆ แรงกระชากก็เกิดขึ้นทันทีทันใจ แบบไม่ต้องรอลุ้นให้เหนื่อยใจ การใช้งานในเมืองที่อาจจะเป็นจุดอ่อนของรถเครื่องยนต์ดีเซลคือการออกตัวในช่วงรถติดๆ ที่เครื่องยนต์ดีเซลจะออกอาการอืดนิดๆ นั้นไม่มีให้เห็นในเครื่องยนต์ตัวนี้ครับ

และยิ่งเป็นการขับขี่ที่สามารถใช้ความเร็วละก็ สุดยอดครับ เพราะอัตราเร่งในช่วงความเร็วต้นถึงความเร็วปลายที่ผมทำอยู่ระดับ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นตอบสนองดีมากครับ เครื่องยนต์เดินเนียนเหลือเกินเมื่อกดคันเร่งลงไป ไม่รู้สึกว่าต้องเค้นกำลังของเครื่องยนต์แต่อย่างใด ต้องขอปรบมือให้เลยจริงๆ กับเครื่องยนต์ตัวนี้ แถมยังต้องปรบมือให้กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะที่ทำงานได้อย่างราบรื่น แทบจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์เลยครับ ไม่มีอาการกระตุกให้เสียอารมณ์

อัตราการสิ้นเปลืองของ 530d เมื่อมาอยู่ภายใต้เท้าผมนั้นอยู่ที่ประมาณ 10.9 กิโลเมตรต่อลิตรครับ เมื่อเทียบกับการเหยียบที่แสนหนักหน่วงผมถือว่าประหยัดไม่น้อยทีเดียว กับความเร็วเฉลี่ยที่เกิน 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากดูในสเปก อัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร ก็อาจจะเป็นไปได้หากขับแบบเรื่อยๆ

ที่สำคัญ หากใครไม่สะใจกับความแรงของเครื่องยนต์ ก็สามารถสนุกกับการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ให้เป็นแบบแมนนวลได้ตามใจชอบ หรือจะเปลี่ยนที่คันเกียร์ก็ได้แล้วแต่ถนัด แต่ต้อง สับเกียร์บ่อยหน่อยนะครับ เพราะเกียร์ 8 สปีด หรือหากขี้เกียจเปลี่ยนเกียร์แต่ยังอยาก คึกก็ปรับโหมดเครื่องยนต์และช่วงล่างให้เป็นแบบสปอร์ตได้เลยครับ แล้วจะได้รู้สึกถึงความกระชับแน่นของช่วงล่างที่ถูกปรับโดยอัตโนมัติ รวมถึงรอบเครื่องยนต์ที่จะดุดันขึ้นทันที แต่ต้องแลกกับความนุ่มนวลที่หายไป

บอกได้คำเดียวว่า บีเอ็มฯ 530d รุ่นนำเข้านี้ เหมาะสำหรับผู้บริหารที่มีใจรักความเร็ว ชอบขับรถ อยากเท่ไม่เหมือนใคร ก็ควักกระเป๋าได้เลยครับ แค่ 7,299,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรม BSI BMW Service Inclusive 5 ปี/100,000 กิโลเมตรไปแล้ว

แต่หากอยากได้ เครื่องเบนซิน ก็ต้องรุ่น 535i กับราคา 7,599,000 บาท !!