posttoday

บริหารความเสี่ยงพอร์ตหุ้นด้วย Futures และ Put Options

15 เมษายน 2559

โดย...บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย)

โดย...บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย)

ทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มกลับมาอยู่ในขาขึ้น ราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศจีนที่เป็นผู้บริโภคหลักของโลกยังคงไม่ฟื้นตัว ส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมีความผันผวนสูง โดยในปี 2016 นี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวลดตัวลงในช่วงต้นปีมาแตะระดับต่ำสุดที่ 1,225 จุด ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจนมาแตะระดับสูงสุดที่ 1,410 จุดในช่วงสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับประมาณ 1,350 จุดในปัจจุบัน

ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้น หากผู้ลงทุนต้องการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนโดยไม่ต้องการขายหุ้นหรือกองทุนที่ถือครองอยู่ออกไป ก็สามารถเลือกใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เป็นหนึ่งในเครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญา SET50 Futures ที่เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ซึ่งให้ผลตอบแทนตามการเคลื่อนไหวของดัชนี SET50 หรือสัญญา SET50 Put Options ที่เป็นสิทธิการขายดัชนี SET50 ณ ราคาที่ระบุไว้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ผู้ลงทุนถือครองกองทุนรวม SET50 อยู่ ซึ่งปัจจุบันดัชนี SET50 อยู่ที่ระดับประมาณ 875 จุด และ
ผู้ลงทุนมีความกังวลว่าตลาดหุ้นอาจปรับตัวลงในระยะสั้น ก็จะสามารถเลือกใช้สัญญาใน TFEX เพื่อบริหารความเสี่ยงได้ ดังนี้

สัญญา SET50 Futures : ผู้ลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงได้โดยการขาย หรือเปิดสถานะ Short สัญญา S50M16 (สัญญา SET50 Futures ที่หมดอายุในเดือน มิ.ย. 2016) ซึ่งหากดัชนี SET50 ปรับตัวลดลงตามที่คาด มูลค่าของกองทุนรวมที่ผู้ลงทุนถือครองอยู่จะปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนจะได้รับกำไรจากสถานะ Short สัญญา SET50 Futures มาชดเชย

สัญญา SET50 Put Options : ในกรณีนี้ผู้ลงทุนจะสามารถบริหารความเสี่ยงได้ ด้วยการเลือกซื้อสัญญา S50M16P875 (สัญญา Put Options ที่มีสิทธิในการขาย SET50 ที่ระดับ 875 จุด หมดอายุในเดือน มิ.ย. 2016) ซึ่งเสมือนกับการประกันว่าจะสามารถขายดัชนี SET50 ได้ที่ระดับ 875 จุด โดยหากดัชนี SET50 ปรับตัวลดลง ผู้ลงทุนจะได้รับผลขาดทุนจากมูลค่าของกองทุนรวมที่ปรับตัวลดลง แต่จะได้รับกำไรจากมูลค่าของสัญญา S50M16P875 ที่ปรับตัวขึ้นมาชดเชยผลขาดทุนดังกล่าว

จะเห็นได้ว่าผู้ลงทุนสามารถเลือกใช้ทั้งสัญญา Futures และ Options เพื่อบริหารความเสี่ยงของกองทุนรวมที่ถือครองอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องขายกองทุนออกไป อย่างไรก็ตาม เครื่องมือใน TFEX ทั้งสองประเภทนี้ ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในบางประเด็น ได้แก่

 เงินลงทุนที่ใช้ : ในกรณีของสัญญา SET50 Futures ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเต็มมูลค่า แต่จะต้องวางเงินหลักประกัน (Margin) ไว้กับBroker และจะต้องรักษาระดับของเงินหลักประกันให้สูงกว่าขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อเป็นการป้องกันการผิดนัดชำระ สำหรับการซื้อ Put Options นั้นผู้ลงทุนจะต้องจ่ายค่า Premium ให้แก่ผู้ขายสัญญา Put Options เพื่อแลกกับสิทธิการขาย แต่ไม่จำเป็นต้องวางเงินหลักประกันใดๆ เนื่องจากผู้ลงทุนจะเป็นผู้ถือครองสิทธิและไม่ได้มีภาระผูกพันใดๆ กับผู้ขาย Put Options (ผู้ซื้อสัญญา Options จะสามารถเลือกใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ ในขณะที่ผู้ขาย Options จะต้องวางเงินหลักประกัน เนื่องจากมีภาระผูกพันที่จะต้องอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถใช้สิทธิได้)

ผลตอบแทนจากการลงทุน : ในกรณีของสัญญา SET50 Futures หากดัชนี SET50 ปรับตัวลง 1 จุด ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทน 200 บาท/สัญญา จากสถานะ Short แต่สำหรับ Put Options ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยนอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง (ดัชนีปรับตัวลง มูลค่า Put Options สูงขึ้น) ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย (อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น มูลค่า Put Options ลดลง) ระยะเวลาที่เหลือก่อนหมดอายุสัญญา (มูลค่า Options จะลดลงเมื่อสัญญาใกล้หมดอายุ) รวมถึงระดับความผันผวนในตลาดหุ้น (ยิ่งมีความผันผวนมาก มูลค่า Options จะยิ่งมาก)

ดังนั้น ในการจะเลือกใช้เครื่องมือชนิดใดเพื่อบริหารความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาถึงประเด็นที่กล่าวมาเบื้องต้นก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการ หรือ เว็บไซต์ www.tfex.co.th

Promotion ผู้ลงทุนใหม่

ผู้ลงทุนใหม่ที่เปิดบัญชีซื้อขายภายในเดือน เม.ย. รับฟรี Gift Voucher 100 บาท

Promotion สินค้าใหม่

ผู้ลงทุนที่เทรด RSS3 Futures ใน 3 เดือนแรก (15 ก.พ.-30 เม.ย.) รับ Gift Voucher 100 บาท ต่อการเทรด RSS3 Futures ทุกๆ 10 สัญญา

Thailand Web Stat