เจเนอเรชั่น 3 ‘ตลาดยิ่งเจริญ’ สร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ตลาดสด
โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์
โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์
ถือได้ว่าเป็นตลาดสดอีกแห่งหนึ่งที่มีอายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 60 ปี และน่าจะเป็นที่รู้จักของใครหลายคนสำหรับ “ตลาดยิ่งเจริญ” ของตระกูลธรรมวัฒนะ ที่นับย้อนไปตั้งแต่ สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2498 เรียกกันติดปากว่า “ตลาดขี้เถ้า” ได้บริหารงานพัฒนาตลาดให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงผู้บริโภค จนกระทั่งสามารถยืนหยัดในวงการค้าปลีกของไทยได้อย่างเหนียวแน่น
หลักการสืบทอดการทำธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น คือ ความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ความผูกพันระหว่างคู่ค้าและผู้บริหาร ที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และการช่วยเหลือสังคม ซึ่งตกทอดมายังรุ่นลูกคือ ณฤมล ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนผ่านมายังรุ่นหลานคือ “ฐานิสรา มังกรพาณิชย์” หรือ กุ๊กกิ๊ก ในตำแหน่ง กรรมการบริหาร บริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ ซึ่งสานงานต่อจากผู้เป็นแม่
นับตั้งแต่ปีที่ 61 ของตลาดยิ่งเจริญเป็นต้นไป ผู้บริหารสาวยุคใหม่อย่าง ฐานิสรา จะเข้ามามีบทบาทในการบริหารงานมากขึ้น โดยมีณฤมลคอยเป็นที่ปรึกษาอยู่ข้างๆ ซึ่งหากจะแบ่งช่วงเวลาการเติบโตของตลาดยิ่งเจริญในแต่ละเจเนอเรชั่น จะสามารถแบ่งได้ดังนี้ ในเจเนอเรชั่น 1 เป็นยุคที่สร้างตลาด ต่อมาเจเนอเรชั่น 2 เป็นยุคสร้างแบรนด์ จนกระทั่งมาถึงเจเนอเรชั่น 3 จะเป็นยุคของการสร้างมาร์เก็ตติ้ง
ในยุคของการสร้างมาร์เก็ตติ้ง ซึ่ง ฐานิสรา ในฐานะผู้บริการตลาดในรุ่นที่ 3 กล่าวว่า จะเป็นการทำให้คนรุ่นใหม่อยากมาเดินช็อปปิ้งในตลาด ซึ่งมาร์เก็ตติ้งในการบริหารงานจะเป็นรูปแบบที่ไม่เคยมีใครที่ประกอบการธุรกิจตลาดสดทำมาก่อน เป็นต้นด้วย การใช้โซเชียลมีเดีย การรีแบรนด์สินค้า และแพ็กเกจจิ้งต่างๆ รวมไปถึงการยกระดับให้เป็นศูนย์รวมที่มากกว่าตลาดสด ซึ่งอาจนำเอาแนวคิดของตลาดนัดเข้ามาร่วมด้วยในการบริหารงานในลักษณะการสร้างไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ตลาดสด
นอกจากนั้น เทรนด์ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยังเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถนำมาปรับใช้ได้กับธุรกิจตลาดสดคือ การยกระดับให้เป็น กรีนมาร์เก็ต ด้วยการรณรงค์ให้มีการแยกขยะและการลดการใช้โฟมในการใส่อาหารหรือสินค้า
ไม่เท่านั้น ตลาดยิ่งเจริญจะเป็นตลาดเดียวที่สามารถทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ได้ ซึ่งแตกต่างจากที่อื่น ความยากของการทำโปรโมชั่นในตลาดสดคือ การไม่ใช่เจ้าของเดียวที่จะสามารถดำเนินการได้เบ็ดเสร็จ แต่ด้วยความที่มีความผูกพันกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดถึงกว่า 3 ช่วงอายุคน ที่เติบโตเคียงข้างกันมา ทำให้ได้รับความร่วมมือจากพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นผู้เช่าแผงค้าในตลาดอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ตลาดสามารถพัฒนาร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว
“สิ่งที่ถูกปลูกฝังมาจากรุ่นแม่นอกเหนือจากสืบทอดหลักการมาตั้งแต่รุ่นยาย คือการช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าและไม่ทอดทิ้งกันไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด” ฐานิสรา กล่าว
ปัจจุบันตลาดยิ่งเจริญ ตั้งอยู่บนที่ดิน 35 ไร่ 3 งาน หรือ 57,212 ตารางเมตร มีจำนวนร้านค้าประมาณ 1,500 ร้าน แบ่งเป็นโซนต่างๆ เพื่อความสะดวกในการซื้อสินค้าครบทุกประเภท นอกจากนี้ยังมีโซนต่างๆ เปิดให้บริการอีก เช่น โซนตลาดนัดคนกันเอง ตลาดนัดคลองถม 2 ลานโปรโมชั่น ยิ่งเจริญพลาซ่า ศูนย์อาหารให้บริการ 24 ชั่วโมง และโรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ เป็นต้น
ตลาดยิ่งเจริญถือเป็นตลาดค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร ที่การจับจ่ายซื้อของในตลาดสดประมาณ 3 หมื่นคน/วัน และมีปริมาณรถเข้ามาใช้บริการประมาณ 7,000-8,000 คัน/วันในวันปกติ และในช่วงเทศกาลสำคัญไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคัน/วัน
ฐานิสรา กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันตลาดยิ่งเจริญยังได้เตรียมเข้าระดมทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมิน รายรับ รายจ่าย และตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ จากทางธนาคาร คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาภายใน 3-5 ปีจากนี้ และคาดว่าจะระดมทุนได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
สำหรับการเข้ากองทุนเพื่อหวังระดมทุนขยายอาณาจักรในส่วนของโครงการต่างๆ ที่จะพัฒนา และรองรับกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยแผนงานก่อสร้างจะแบ่งเป็น 3 เฟส ได้แก่ เฟสแรกจะพัฒนาโครงสร้างตลาดยิ่งเจริญ จากโครงสร้าง 1 ชั้น เป็น 2 ชั้น ภายใต้งบการลงทุน 1,000 ล้านบาท
ขณะที่เฟสที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามตลาดยิ่งเจริญ บนเนื้อที่ 20 ไร่ จะพัฒนาโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ย่านสะพานใหม่ ประกอบไปด้วยพื้นที่เช่าต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์ ภายใต้งบการลงทุน 1,000 ล้านบาท
สำหรับเฟสที่ 3 จะพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบอพาร์ตเมนต์ โดยร่วมทุนกับนักธุรกิจที่สนใจ เพื่อรองรับผู้เช่าแผงในตลาดได้เข้ามาอยู่อาศัย ขณะที่งบการลงทุนยังไม่สามารถตอบได้ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วง 5-10 ปี
อีกทั้งเพื่อเป็นการรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจึงได้เริ่มขยายอาคารจอดรถให้สามารถรองรับเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 คัน จากเดิมรองรับได้ 700 คัน และสามารถหมุนเวียนได้ 7,000-8,000 คัน/วัน ใช้เงินลงทุน 50-60 ล้านบาท
ถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการทำธุรกิจตลาดสดของ “ตลาดยิ่งเจริญ” ที่ได้เจเนอเรชั่นรุ่นหลานเข้ามาบริหารงานพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่น่าติดตาม