"เบนซ์"ส่งดรีมคาร์ลุยตลาดกระตุ้นภาพลักษณ์
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวดรีมคาร์ 4 รุ่นใหม่ กระตุ้นภาพลักษณ์ หวังอานิสงส์ยอดขายกลุ่มอื่นเพิ่ม
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวดรีมคาร์ 4 รุ่นใหม่ กระตุ้นภาพลักษณ์ หวังอานิสงส์ยอดขายกลุ่มอื่นเพิ่ม
นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวรถยนต์ในกลุ่มดรีมคาร์ ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 16% ของยอดขายในปัจจุบัน 4 รุ่นใหม่ ได้แก่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส คูเป้ ราคา 16.2 ล้านบาท เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เอสแอลซี 43 ราคา 4.99 ล้านบาท เมอร์เซเดส เอสแอล ราคาอยู่ที่ 9.49 ล้านบาท และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เอสแอลซี 300 เอเอ็มจี ไดนามิก ราคา 3.99 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้แบ่งสัดส่วนยอดขายของบริษัทออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลักซ์ชัวรี่คาร์ ดรีมคาร์ และคอมแพ็กคาร์ ซึ่งการเปิดตัวรถยนต์ในกลุ่มดังกล่าวจะสามารถช่วยกระตุ้นด้านภาพลักษณ์แบรนด์ที่จะส่งผลดีต่อยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท เนื่องจากถือเป็นแรงบันดาลใจที่จะสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์สำหรับผู้บริโภค
“ที่ผ่านมาสัดส่วนของรถยนต์ในกลุ่มดรีมคาร์เคยมีส่วนแบ่งในยอดขายรวมของบริษัทสูงถึง 18-19% จากการเปิดตัวและรุกตลาดในกลุ่ม ซึ่งการเปิดตัวดรีมคาร์อีก 4 รุ่นใหม่ คาดว่าจะกระตุ้นกำลังซื้อได้เช่นเดียวกัน”นายไมเคิล กล่าว
ขณะเดียวกัน การเปิดตัวรถดรีมคาร์จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคที่เชื่อมั่นในแบรนด์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่อาจจะยังไม่มีความพร้อมเป็นเจ้าของในระดับรถยนต์กลุ่มดรีมคาร์ หันมาซื้อรถยนต์ในกลุ่มอื่นๆ อาทิ ลักซ์ชัวรี่ และคอมแพ็ก และจากนั้นถึงพัฒนาเป็นเจ้าของในกลุ่มดรีมคาร์ในที่สุด
ด้านการจองยอดขาย 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 6,504 คัน เติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนภาพรวมตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) อยู่ที่ 9,769 คัน ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคาดว่าปี 2559 ภาพรวมตลาดจะอยู่ที่ 2.2-2.3 หมื่นคัน จากปีก่อนอยู่ที่ 2-2.1 หมื่นคัน
นายไมเคิล กล่าวอีกว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมาตรการสนับสนุนการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย บริษัทมองว่าจะต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของตลาด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในเร็ววันนี้ โดยเห็นว่าในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้า ที่มีความเป็นไปได้ เนื่องจากเทคโนโลยีจะพัฒนาได้เร็วหรือช้าจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน อาทิ นโยบายรัฐ การตอบรับของตลาด เป็นต้น
สำหรับบริษัทได้สนับสนุนทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในทุกด้านสำหรับประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายแล้วจะต้องขึ้นอยู่กับผลของการศึกษาความเป็นไปได้ โดยบริษัทได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับคณะทำงานของรัฐบาล รวมถึงการกำหนดทิศทางมาตรฐานหัวชาร์จไฟฟ้าในรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน