จ่อรื้อสูตรคำนวณเงินเฟ้อ
“พาณิชย์” เล็งเพิ่มน้ำหนักค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน มือถือ อาหารปรุงสำเร็จ คำนวณฐานเงินเฟ้อ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภค
“พาณิชย์” เล็งเพิ่มน้ำหนักค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน มือถือ อาหารปรุงสำเร็จ คำนวณฐานเงินเฟ้อ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภค
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างรายการสินค้าที่จะนำมาใช้คำนวณอัตราเงินเฟ้อใหม่ เพื่อให้สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งได้มีการเพิ่มน้ำหนักการคำนวณค่าใช้จ่ายที่มาจากค่าบริการอินเทอร์เน็ตในบ้าน ค่าบริการโทรศัพท์
มือถือ และอาหารปรุงสำเร็จ เข้ามาคำนวณน้ำหนักของเงินเฟ้อมากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถปรับปรุงระบบการคำนวณใหม่และนำมาใช้ในเดือน ม.ค. 2560 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การปรับลดจำนวนสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นไปตามแผนที่สำนักงานฯ ต้องการให้การคำนวณสอดคล้องกับพฤติกรรมที่แท้จริงของประชาชน โดยพร้อมกับการปรับจำนวนสินค้านี้ จะมีการปรับปีฐานคำนวณเงินเฟ้อจากปี 2554 มาใช้ปีฐาน 2558 ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะลดรายการสินค้าที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อลดลง แต่เงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์จัดทำยังคงมีความน่าเชื่อถือเช่นเดิม เพราะเป็นการตัดลดบางรายการที่ไม่จำเป็น ให้สอดคล้องกับงบประมาณที่สำนักงานฯได้รับด้วย รวมทั้งจะสอดคล้องกับการจัดเก็บที่หลายประเทศทำ
“การใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ทำให้ต้องมีการเพิ่มน้ำหนักรายการนี้เข้ามาในตะกร้าคำนวณเงินเฟ้อมากขึ้น และสำนักงานฯ ยังมีแผนทบทวนรายการสินค้าบางรายการอื่นๆ เพิ่มเติมอีก โดยอาจจะเพิ่มหรือลดสินค้าที่อยู่ในตะกร้า 450 รายการ ที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อในปัจจุบัน ซึ่งจะเหลือประมาณ 300 รายการ แต่จะเป็นรายการสำคัญที่มีผลต่อค่าครองชีพประชาชน” น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปี 2560 คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 0-1% ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีนี้ที่เฉลี่ยที่ 35-45 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ ทางสำนักงานฯ ได้เตรียมจัดทำดัชนีความเท่าเทียมกัน (Purchasing Power Parity index :PPP) ในแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นข้อมูลให้ภาครัฐและเอกชนนำมาใช้ ในการกำหนดนโยบายและมาตรการในการช่วยเหลือชุมชน ให้เหมาะสมกับประชาชนในท้องถิ่น เช่น การกำหนดอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ โดยจะเริ่มเก็บข้อมูลใน 43 จังหวัดแล้ว และจะขยายให้ครบ 77 จังหวัดภายในต้นปีหน้า