ปิยะเลิศ ใบหยก สานต่อโรงแรม ต่อยอดสู่ร้านอาหาร เน้นไม่เกินตัว

23 ธันวาคม 2559

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

หากจะกล่าวถึงย่านประตูน้ำ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับตึกใบหยก ตึกที่เคยถูกขนานนามว่ามีความสูงที่สุดในประเทศไทย แม้ว่าวันนี้จะมีตึกใหม่ทำลายสถิติสูงที่สุดแทนที่ใบหยกไปแล้ว แต่สำหรับทายาทธุรกิจกลุ่มใบหยกก็ยังเดินหน้าสานต่อธุรกิจของพันธ์เลิศ ใบหยก ผู้เป็นพ่อต่อไป

ปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกลุ่มใบหยกและประธาน กลุ่มบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า เริ่มมาช่วยงานธุรกิจครอบครัวตั้งแต่จบปริญญาโท ช่วงนั้นอายุ 23 ปี ทางกลุ่มใบหยกยังทำธุรกิจโรงแรมอย่างเดียว อย่างไรก็ตามก่อนมาช่วยงานเต็มตัว ตั้งแต่เด็กจนโตคุณพ่อมักพามาคลุกคลีกับงานโรงแรมเป็นประจำอยู่แล้ว ช่วยตั้งแต่งานแม่บ้าน เก็บขยะ จนถึงเข้าร่วมฟังการประชุมกับคุณพ่อ ทั้งที่เวลานั้นยังไม่รู้เรื่องธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดความผูกพันและรู้เองว่าเมื่อเรียนจบต้องกลับมาช่วยงานธุรกิจโรงแรมของครอบครัว

ช่วงเริ่มต้นเข้าไปทำงานในธุรกิจครอบครัวนั้นก็ไม่ได้เริ่มจากการเป็นผู้บริหาร แต่เริ่มจากการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย คอยวิ่งออกไปหาลูกค้า จากนั้นก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ท้าทายขึ้น นั่นก็คือโครงการปรับปรุงอพาร์ตเมนต์เก่าให้เป็นโรงแรม โดยมีโจทย์ที่ถือว่าเป็นงานหินมากๆ คือ คุณพ่อมีงบประมาณให้แค่ 5 ล้านบาท แต่ต้องปรับปรุงห้องพักซึ่งมีทั้งหมด 200 ห้อง

“เวลานั้นเราเพิ่งเรียนจบจากอังกฤษมาได้ไม่นาน ก็เห็นเพื่อนๆ ที่รู้จักกันได้เงินจากทางบ้านไปทำธุรกิจหลัก 10-100 ล้านบาท ขณะที่คุณพ่อของเราเป็นคนดุ ไม่อยากให้ใช้เงินเยอะ ไม่ต้องการให้ฟู่ฟ่าซื้อของแพงๆ เราก็เลยได้งบแค่ 5 ล้านบาท แต่ต้องปรับปรุงอพาร์ตเมนต์เดิมให้เป็นโรงแรม ซึ่งห้องก็เก่ามากแล้วก็ทำให้เราคิดว่าต้องค่อยๆ ปรับไป โดยคิดว่าคงต้องใช้เวลา 2-3 ปี”

ปิยะเลิศ กล่าวว่า การปรับปรุงอพาร์ตเมนต์ให้กลายมาเป็นโรงแรมครั้งนั้นเริ่มจากปรับปรุงล็อบบี้ก่อน เมื่อได้เงินจากธุรกิจก็ค่อยๆ นำมาทยอยปรับปรุงต่อจนเสร็จ เวลานั้นคำว่าโรงแรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ (บูติก) ยังไม่มีอยู่ในระบบโรงแรมในไทย แต่เพื่อนที่รู้จักกันก็แนะนำว่าโรงแรมบูติกเป็นรูปแบบที่ชาวต่างชาติชอบไปพัก ดังนั้นหากปรับปรุงโรงแรมครั้งนี้ก็น่าจะลองปรับปรุงให้ออกมาเป็นโรงแรมบูติก และเนื่องจากงบประมาณน้อย ช่วงแรกไม่มีงบมากพอจะจ้างพนักงานต้อนรับ จึงใช้วิธีทำเองทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เช่น เป็นพนักงานฝ่ายต้อนรับเอง วางระบบทุกอย่างเอง เมื่อทำโครงการนี้สำเร็จก็ทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นกับการทำธุรกิจโรงแรม

แนวทางการทำธุรกิจโรงแรมนั้น ก็จะเน้นขอคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มานาน และก็เน้นการพูดคุยกับลูกน้องอยู่เป็นประจำ โดยมักจะถามลูกน้องเสมอว่ารู้สึกอย่างไร คิดว่าควรจะทำอย่างไรดี เพราะเชื่อเสมอเรื่องการทำงานเป็นทีม โดยมองว่าการทำงานจะต้องฟังทีมงาน เพียงแต่เวลาตัดสินใจจะต้องเด็ดขาด ส่วนการดำเนินการใดๆ ไม่ควรทำอะไรเกินตัว

ปัจจุบันโรงแรมที่ทำมี 8 แห่ง คือ โรงแรมใบหยกสกาย โรงแรมใบหยกสวีท โรงแรมใบหยกบูทีค โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ โรงแรมใบหยกเจ้า จ.เชียงใหม่ โรงแรมใบหยก ชาเล่ต์ จ.แม่ฮ่องสอน สันติสุขรีสอร์ท อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และโรงแรมใบหยก ซีโคสต์ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ปีหน้าจะเปิดโรงแรมอีก 2 แห่ง คือ โรงแรมบางกอก มิดทาวน์ ตั้งอยู่ย่านยมราช มี 200 ห้อง เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวขึ้นไป คาดว่าจะเปิดได้ไม่เกินไตรมาส 2 และโรงแรมอีกแห่งจะอยู่ย่านรัชดา ใกล้กับศาลอาญา มี 80 ห้อง เน้นเจาะกลุ่มข้าราชการที่ต้องมาศาล คาดว่าจะเปิดได้ไตรมาส 4

ทั้งนี้ หากเป็นโรงแรมของใบหยกที่สร้างขึ้นใหม่ในกรุงเทพฯ จะไม่ได้ใช้แบรนด์ใบหยก เนื่องจากเกรงว่าจะมีปัญหาเวลานักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเข้าพัก ขึ้นแท็กซี่แล้ว แท็กซี่จะพาไปส่งที่ใบหยก ประตูน้ำ เพราะเกิดความสับสน เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะรู้จักแบรนด์ใบหยกดีว่าอยู่ที่ประตูน้ำ ดังนั้นจึงตั้งชื่อโรงแรมให้สอดคล้องกับย่านที่ตั้งอยู่แทน แต่ถ้าเป็นการขยายโรงแรมในต่างจังหวัดก็จะใช้แบรนด์ใบหยกปกติ

ปิยะเลิศ กล่าวว่า หลังมีตึกใหม่ทำลายสถิติสูงที่สุดในไทย สำหรับกลุ่มใบหยกคงไม่ได้ไปสร้างตึกใหม่เพื่อแข่งขันทำลายสถิติ เพราะมองว่าคนเราต้องพอไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจอยู่รอดได้ เนื่องจากหากจะไปสร้างตึกที่สูงที่สุดใหม่ในแง่งบประมาณคงสู้ไม่ไหว ในเมื่อค่าก่อสร้างวันนี้เทียบกับสมัยที่สร้างตึกใบหยก 2 แตกต่างกันมาก

นอกจากทำธุรกิจโรงแรม ไม่กี่ปีก่อนกลุ่มใบหยกก็ขยายไปร่วมหุ้นกับพันธมิตรทำสายการบินเอเชีย แอตแลนติก แอร์ไลน์ส แต่ธุรกิจการบินในไทยยังติดอุปสรรคที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ติดธงแดงกับประเทศไทยสะท้อนว่ามีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย ทำให้ธุรกิจนี้ค่อนข้างนิ่ง ยังไม่ขยายตัวมาก

ขณะที่โดยส่วนตัว 5 ปีก่อนได้ร่วมกันในกลุ่มพี่น้องเปิดบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ทำธุรกิจร้านอาหาร โดยสาเหตุที่ตัดสินใจทำธุรกิจนี้เพราะเป็นคนชอบรับประทานอาหารจึงอยากมีร้านเอง ซึ่งชื่อบริษัท พีดีเอส มาจาก พันธ์เลิศ ดอเทอร์ แอนด์ ซัน แปลว่าลูกสาวและลูกชายของพันธ์เลิศ ในความเห็นส่วนตัวมองว่าการทำธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีความยากง่ายและท้าทายที่คล้ายคลึงกัน

ปิยะเลิศ กล่าวว่า ปัจจุบันมีร้านอาหารภายใต้บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ได้แก่ ร้านอาหารไทย มิสสยาม จังหวัดฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ร้านอิคโคฉะ ราเมน ร้านอุชิดายะ ราเมน ร้านมิโซะคัตสึ ยาบะตง ร้านเซไค โนะ ยามะจัง และล่าสุดคือร้านพาโบล ชีสทาร์ต ส่วนปี 2560 จะมีร้านขนมหวานแบรนด์ใหม่จากญี่ปุ่นเพิ่ม 1 แบรนด์ สาเหตุที่เน้นขยายร้านอาหารญี่ปุ่นเพราะเคยไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นมานานคุ้นเคยกับคนญี่ปุ่นดี

สำหรับร้านอาหารไทย มิสสยาม กำลังหาทำเลเปิดเพิ่ม 1 เมืองในญี่ปุ่นปีหน้า คาดว่าเปิดที่โอซากา ส่วนร้านพาโบล ที่เซ็นสัญญาเป็นแฟรนไชส์ขยายในไทย เปิดสาขาแรกไปที่สยามพารากอน ตามสัญญาจะมี 18 สาขา ภายใน 10 ปี (สัญญาแฟรนไชส์ 5 ปี ต่อสัญญาได้อีก 5 ปี) ถือเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์แรกในบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ที่เจาะตลาดลูกค้าทั่วไป มั่นใจว่าขยายตลาดได้ไม่ยากเพราะคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมากจนรู้จักพาโบลดีอยู่แล้ว

ถือเป็นทายาทธุรกิจอีกกลุ่มที่น่าจับตา นอกจากขยายรากฐานธุรกิจเดิมของครอบครัวให้แข็งแรงขึ้น ยังขยายไปทำธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มอีก เชื่อว่าวิธีคิดขยายตัวค่อยเป็นค่อยไป ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ทำอะไรเกินตัว จะเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ทำให้ทายาทธุรกิจรายนี้นำพาธุรกิจครอบครัวเติบโตได้มั่นคงและยั่งยืน &O5532;

ปิยะเลิศ ใบหยก (อายุ 35 ปี)

ประวัติการศึกษา

- ปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิตเอกศึกษาธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- ปริญญาโท บริหารธุรกิจนานาชาติสาขาการตลาด มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ อังกฤษประวัติการทำ งาน

- รองประธานกลุ่มใบหยก บริหาร งานกลุ่มโรงแรมใบหยกทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

- ประธานกลุ่มบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง บริหารงานธุรกิจร้านอาหาร

Thailand Web Stat