Facebook Ads for Real Estate
โดย...ธนาคารเกียรตินาคิน
โดย...ธนาคารเกียรตินาคิน
การเข้ามาของ Facebook Ads ได้ช่วยให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เอสเอ็มอีมีเครื่องมือการสื่อสารเชิงรุกที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนี่คือบันได 4 ขั้นในการตั้งค่า Facebook Ads อย่างมีประสิทธิภาพ
1.การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย-สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งหมด 3 แบบ คือ
Standard Audience (เชิงรุก เปิดตลาด หาลูกค้าใหม่) กำหนดตามอายุ เพศ อาชีพ ภาษา การศึกษา พฤติกรรม ความสนใจ สถานะความสัมพันธ์ อุปกรณ์ และระบบมือถือ เป็นต้น
Custom Audience (สื่อสารกับผู้เคยมีส่วนร่วมทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์) กำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบนี้ เพื่อยิงโฆษณาไปยังยูสเซอร์ผู้เคยมามีส่วนร่วมบนเฟซบุ๊ก, วิดีโอ กรอกฟอร์ม Canvas, แฟนเพจ, เข้าชมเว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งฐานข้อมูล : อีเมล/เบอร์มือถือจากลูกค้าที่เคยวอล์กอินไปยังโครงการ
Lookalike Audience (หาลูกค้าใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกับลูกค้าเดิมของเรา)
2.ตำแหน่งที่ตั้งสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การเลือกตำแหน่งที่ตั้งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะโครงการบ้านอยู่ กทม. หรือภูเก็ต ไม่จำเป็นต้องยิงโฆษณาแบบทั่วประเทศ เราสามารถเลือกเจาะเฉพาะตามรหัสไปรษณีย์ ปักหมุด หรือระบุจังหวัดที่เราต้องการได้ การเลือกตำแหน่งที่ตั้งที่ดี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าอย่างตรงเป้าด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
ผู้ประกอบการบางรายอาจมีงบการตลาดที่จำกัด ไม่สามารถไปร่วมการออกบูธตามงานต่างๆ ก็สามารถยิงโฆษณาไปยังผู้ที่มาเยี่ยมชมงานในช่วงเวลาดังกล่าวได้ เพียงเลือกตำแหน่งที่ตั้ง เป็นบุคคลที่อยู่ในทำเลที่ตั้งนี้เมื่อไม่นานมานี้ แล้วปักหมุดไปยังสถานที่จัดงาน (ข้อจำกัดคือ : เฉพาะผู้ที่เช็กอินในงานเท่านั้นที่จะเห็นโฆษณา)
3.ตำแหน่งการวางโฆษณา เราสามารถเลือกตำแหน่งการวางโฆษณาได้ตามพฤติกรรมการใช้สื่อของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งใน Facebook Ads จะมีตำแหน่งการวางโฆษณาให้เราเลือกอยู่ 3 แบบ คือ 1.บนเฟซบุ๊ก (ทั้งเดสก์ท็อป คอลัมน์ด้านขวาเดสก์ท็อป และมือถือ) 2.อินสตาแกรม และ 3.Audience Network (เข้าถึงยูสเซอร์ที่อยู่นอกเฟซบุ๊กผ่านแอพและเว็บไซต์บนมือถือของ Third Party ที่มีคุณภาพสูง) แต่สิ่งที่อยากให้คำนึงถึงมากที่สุดคือ สถิติผู้ใช้เฟซบุ๊ก 41 ล้านคน มีประมาณ 38 ล้านคน ใช้เฟซบุ๊กผ่านทางมือถือ
4.การดูสถิติโฆษณา การดูรายงานจากเฟซบุ๊กจะทำให้เรารู้ว่าผู้ที่มีส่วนร่วม หรือเห็นโฆษณาของเราเป็นใคร อายุเท่าไหร่ เพศอะไร ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดไหน อัตราส่วนเท่าไหร่ เพื่อนำข้อมูลไปวางแผนทางการตลาด ดูคะแนน Relevance Score จะเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นว่าโฆษณาของเราดีหรือไม่ดี (ควรมากกว่า 8 ขึ้นไป) แต่อย่างไรก็ตาม ควรให้ความสำคัญกับ ROI ของงบประมาณที่จ่ายไปเมื่อเทียบกับยอดขาย หรือผลลัพธ์ที่ได้กลับมาด้วย แทนที่จะยึดติดกับคะแนน Relevance Score เพียงอย่างเดียว (จะยอดเยี่ยมมากหากสามารถรวมต้นทุนทั้งออฟไลน์และออนไลน์แล้วนำมาคำนวณ ROI ได้)
อย่างไรก็ตาม แม้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดออนไลน์จะมีประสิทธิภาพแค่ไหน สื่อออฟไลน์แบบดั้งเดิมก็ยังไม่ควรทิ้งอยู่ดี ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เอสเอ็มอีควรใช้ควบคู่กันไปตามสัดส่วน ตามสถานการณ์ทางการแข่งขันอย่างเหมาะสม