กองทุน Active VS Passive จะเลือกอย่างไร เมื่อเป็น FIF

04 เมษายน 2560

สวัสดีครับ นักลงทุนในกองทุนรวมทุกท่าน พบกับผมหมอนัท ทุกๆ เดือนแห่งนี้ ในคอลัมน์ Fund Clinic ครับ เมื่อเดือนที่แล้ว

โดย...หมอนัท

สวัสดีครับ นักลงทุนในกองทุนรวมทุกท่าน พบกับผมหมอนัท ทุกๆ เดือนแห่งนี้ ในคอลัมน์ Fund Clinic ครับ เมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้อธิบายถึงการซื้อกองทุนด้วยเทคนิคต่างๆ ในการจับจังหวะไปค่อนข้างหลากหลายวิธี และเราสามารถนำวิธีต่างๆ มาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อความแม่นยำที่มากขึ้นในการลงทุนได้อีกด้วย ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นวิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้นครับ และถ้าใช้อย่างถูกต้องก็จะเพิ่มความมั่นใจ และมีแนวโน้มที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีครับ

ในครั้งนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า กองทุน Foreign Investment Fund (FIF) ที่เราจะเลือกไปลงทุนนั้น กองทุนของแต่ละทวีป แต่ละประเทศ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกกองทุนต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะว่าแต่ละประเทศมีลักษณะเฉพาะตัว ถ้าเราเข้าใจดีแล้วละก็ จะมีโอกาสในการได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ครับ

เริ่มต้นด้วยที่ประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วก่อนนะครับ ที่แรกที่เราจะไปดูกัน คือ ประเทศสหรัฐครับ ประเทศนี้มีลักษณะเฉพาะตัวอย่างมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่ตลาดทุนพัฒนาไปมาก มีบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐหลายพันบริษัท เรียกได้ว่า ใกล้เคียงกับตลาดในอุดมคติเลยครับ ส่งผลให้กองทุนแบบ Active Fund หรือกองทุนที่เน้นการทำกำไรให้สูงกว่า Benchmark ที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีนั้น หาได้น้อยมากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะหากองทุนที่เอาชนะดัชนี S&P500 หรือ NASDAQ มีไม่ถึง 15% และมีแนวโน้มที่จะเห็นกองทุน Active Fund ทำผลตอบแทนชนะ Benchmark นั้นน้อยลงเรื่อยๆ อีกด้วยครับ

ดังนั้น ถ้าใครที่คิดว่าจะลงทุนระยะยาวๆ กับตลาดหุ้นสหรัฐแล้วละก็ผมแนะนำให้ลงทุนกับกองทุน S&P500 หรือว่ากองทุนสไตล์ Passive Fund ที่ขึ้น-ลงตามดัชนีครับ ซึ่งข้อดีคือ ผลตอบแทนเฉลี่ยเองก็ไม่ได้น่าเกลียดเลยครับ อยู่ที่ประมาณ 8-10% (ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี) นอกจากนี้ค่าธรรมเนียมของกองทุนก็ยังไม่สูงอีกด้วยครับ เอาเป็นว่าถูกกว่ากองทุน Active และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้จัดการกองทุนย้ายไปไหนด้วยครับ

ส่วนประเทศถัดมา คือ กลุ่มประเทศยุโรป หรือว่า อียู ครับ กลุ่มประเทศนี้ก็เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีบริษัทจดทะเบียนใหญ่ๆ อยู่มากมายเช่นกัน ซึ่งก็มีลักษณะคล้ายกับประเทศสหรัฐ หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่า กองทุนที่น่าลงทุนน่าจะเป็นกองทุน Passive Fund เช่น กองทุนที่ไปลงทุนในดัชนี STOXX600 แต่ผมขอบอกว่า อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เนื่องจากว่าประเทศในกลุ่มยุโรปนั้น แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นประชากร หรือว่าวัฒนธรรม อาชีพ การบริโภค ของแต่ละประเทศ ทำให้การลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี หรือว่าการเลือกลงทุนในเฉพาะหุ้นบางตัวอย่างที่กองทุน Active Fund ทำ ก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในกองทุนแบบ Passive Fund ครับ

ส่วนใหญ่ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนยุโรปเองก็เป็นไปในทางเดียวกัน คือ ส่วนใหญ่จะเอาชนะ Benchmark ได้ แต่ว่าผลตอบแทนอาจจะไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ เนื่องจากตลาดหุ้นยุโรปเองก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จากเรื่องการเมืองระดับประเทศที่มีผลกระทบกับประเทศในยุโรปที่มีข่าวให้เห็นอยู่บ่อยๆ ใครลงทุนอยู่ก็ต้องติดตามข่าวสารกันด้วยนะครับ

ส่วนประเทศญี่ปุ่นเองก็เป็นประเทศที่หลายๆ คนให้ความสนใจไม่แพ้กัน ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้น จะมีความคล้ายกับประเทศสหรัฐครับ คือ ยากที่จะหากองทุนที่เอาชนะ Benchmark ได้น้อยมากเช่นกัน ดังนั้นถ้าใครอยากจะลงทุนกับกองทุนญี่ปุ่นแล้วละก็ มองหากองทุนดัชนี Nk225 หรือว่าดัชนี TOPIX ไว้ก่อนเลยครับ และถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้นักลงทุนเองลงทุนกับกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ด้วย

เนื่องจากค่าเงินเยนที่เปลี่ยนแปลงไปมีผลกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนอย่างมาก เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ส่งออกเป็นหลัก ค่าเงินที่อ่อนลงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทจดทะเบียน แต่ว่าไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนของนักลงทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงของค่าเงินเท่าไหร่นัก ค่าเงินเยนนั้นค่อนข้างมีความผันผวนอยู่พอสมควร เปลี่ยนแปลงได้บ่อยๆ หรือมีความร้อนแรง ตรงข้ามกับชื่อของสกุลเงินครับ

ในครั้งหน้าเรามาดูกองทุนในฝั่งที่เป็นประเทศในกลุ่ม Emerging Market หรือตลาดหุ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งน่าสนใจมาก เนื่องจากอนาคตมีโอกาสเติบโตได้สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วครับ แล้วพบกันครั้งหน้านะครับ สวัสดีครับ

Thailand Web Stat