posttoday

เจ้าศรีอโนชา

27 กรกฎาคม 2560

วิมลพรรณ ปีตธวัชชัยเจ้าศรีอโนชา หรือ เจ้ารจจา ซึ่งบ้างก็ออกนาม ว่า เจ้าศิริรดจา เจ้าศิริรจนา หรือ เจ้าสัจา เป็นพระอัครชายาเธอในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งพระราชวงศ์จักรี และเป็นพระขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่

วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

เจ้าศรีอโนชา หรือ เจ้ารจจา ซึ่งบ้างก็ออกนาม ว่า เจ้าศิริรดจา เจ้าศิริรจนา หรือ เจ้าสัจา เป็นพระอัครชายาเธอในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งพระราชวงศ์จักรี และเป็นพระขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่

เจ้าศรีอโนชา หรือ เจ้ารจจา ประสูติเมื่อจุลศักราช 1112 ปีมะเมียโทศก (พ.ศ. 2293) ในช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 4 ในเจ้าฟ้าสิงหราชธานี เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว ผู้ครองนครลำปาง กับแม่เจ้าจันทาราชเทวี และเป็นพระราชนัดดาในพระยาไชยสงคราม (ทิพย์ช้าง) กับแม่เจ้าพิมพาราชเทวี ซึ่งเป็นองค์ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร

มีพระภราดาพระภคินีรวม 10 พระองค์ ได้แก่ พระเจ้ากาวิละ พระยาคำโสม พระยาธรรมลังกา พระเจ้าดวงทิพย์ เจ้าสรีวัณณา พระยาอุปราชหมูล่า พระยาคำฟั่น เจ้าสรีบุญทัน และพระเจ้าบุญมา

เจ้าศรีอโนชา ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้เจริญเติบโตมาอย่างเจ้านายฝ่ายในเมืองเหนือ ที่มีความรู้ความสามารถรอบด้านมีความชำนาญเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการขี่ม้าและฟันดาบ

ในปี 2317 ภายหลังจากที่ขับไล่พม่าออกจากล้านนา ระหว่างที่พระเจ้ากรุงธนบุรี จะเสด็จกลับกรุงธนบุรี เมื่อถึงเมืองลำปาง พระยากาวิละเจ้าผู้ครองนครลำปาง ได้ถวายพระนัดดานารี (หลานสาว) ให้เป็นบาทบริจาผู้หนึ่ง แด่พระเจ้ากรุงธนบุรี และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เจ้าศรีอโนชา หรือเจ้ารจจา เจ้าขนิษฐาในพระยากาวิละก็ได้เป็นภรรยาในเจ้าพระยาสุรสีห์ พิษณุวาธิราช (บุญมา) เจ้าเมืองพิษณุโลก ทหารเอกคู่ใจพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งนำทัพไปในครั้งนั้นด้วย

พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้พระนัดดานารีของพระยากาวิละตามเสด็จกลับธนบุรีด้วย เพื่อหวังให้เกิดสัมพันธ์และเพิ่มพูนความชอบ และอำนาจแด่ราชวงศ์ฝ่ายเหนือในภายหลัง ครั้งเข้ามาอยู่รับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระเจ้ากรุงธนบุรีในราชสำนักแล้ว กลับไม่พบว่าพระนัดดานารีพระองค์นั้นมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริมความสำคัญแก่ราชวงศ์ฝ่ายเหนือ

เมื่อถึงช่วงปลายรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีฯ (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ (บุญมา) ไปปราบกบฏเมืองเขมร แล้วกรุงธนบุรีก็เกิดจลาจล ด้วยมีเสียงเล่าลือว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีเสียพระจริต และพระยาสรรค์ได้ก่อกบฏในกรุงธนบุรี พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เจ้าเมืองนครราชสีมา (ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ และกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข กรมพระราชวังหลัง ในรัชกาลที่ 1) ได้ยกกำลังเข้ามาปราบกบฏพระยาสรรค์ในกรุงธนบุรี พร้อมกับแจ้งเหตุจลาจลในกรุงธนบุรี ไปยังทัพไทยในเมืองเขมรให้รับทราบ

เจ้าศรีอโนชาได้ช่วยพระยาสุริยอภัยปราบพระยาสรรค์ช่วงเกิดความไม่สงบในปลายสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี 2324 ในการปราบพระยาสรรค์ เจ้าศรีอโนชาได้เกณฑ์ชาวลาวที่ปากเพรียว สระบุรี เข้าผสมกับกองกำลังของพระยาสุริยอภัยจากนครราชสีมา รวมประมาณ 1,000 คน ยกเข้ามาต่อสู้กับฝ่ายพระยาสรรค์ที่ธนบุรี การปะทะกันครั้งแรกฝ่ายพระยาสุริยอภัยได้เพลี่ยงพล้ำ เจ้าศรีอโนชาจึงบัญชากองทัพเรือชาวมอญเข้าช่วยตีขนาบจนฝ่ายพระยาสรรค์พ่ายแพ้ และในตำนานเจ้าเจ็ดตนก็ได้กล่าวถึงบทบาทของเจ้าศรีอโนชา ว่า "เจ้าครอกศรีอโนชาหงายเมืองได้ไว้แล้ว ก็ใช้ไปเชิญเอาเจ้าพระยาจักรี พระยาสุรสีห์ 2 องค์พี่น้องเข้ามาผ่านพิภพขึ้นเสวยราชย์ เจ้าพระยาจักรีเป็นพี่กษัตริย์องค์หลวง... พระยาสุรสีห์ คนน้องปรากฏว่า ล้นเกล้าล้นกระหม่อมกรมพระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้า"

ในการนี้ เจ้าศรีอโนชาเองก็ได้รับความชอบไม่น้อย ซึ่งเพิ่มพูนอำนาจและความไว้วางใจต่อราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน และหลังจากการทราบข่าวการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระเจ้ากาวิละได้นำเจ้านายพี่น้องลงมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก "ทรงพระกรุณาเป็นอันมาก" จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศพระยากาวิละขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ แทนพระยาจ่าบ้านที่เสียชีวิตลงในปลายกรุงธนบุรีแล้ว

เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช และเจ้าศรีอโนชามีธิดาคนเดียวคือ คุณพิกุลทอง

ครั้นเมื่อมีการสถาปนาพระราชวงศ์จักรีขึ้น เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช ผู้ภัสดา ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้สถาปนาคุณพิกุลทอง ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าพิกุลทอง กรมขุนศรีสุนทร

เจ้าศรีอโนชาพระอัครชายาเธอในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถึงแก่พิราลัยเมื่อปี 2325 ปัจจุบันปรากฏกู่พระอัฐิของท่านตั้งอยู่ทางทิศใต้ติดกับกำแพงด้านนอกวัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง

ในพงศาวดารตอนต้นรัตนโกสินทร์ บันทึกไว้ว่า "มีคำกล่าวมาแต่ก่อนว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างพระราชมณเฑียรและสถานที่ต่างๆ ในพระราชวังบวรฯ โดยประณีตบรรจงทุกๆ อย่าง ด้วยตั้งพระราชหฤทัยว่า เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชเสด็จสวรรคต ถึงเวลาพระองค์ทรงครองราชสมบัติจะเสด็จประทับอยู่พระราชวังบวรฯ ตามแบบอย่างพระเจ้าบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ไม่เสด็จลงมาอยู่วังหลวง แต่เมื่อทรงดำรงพระยศกรมพระราชวังบวรฯ ได้เพียง 21 พรรษา ก็ประชวรหนัก เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2346 พระชนมายุได้ 60 พรรษา

ระหว่างที่ประชวรนั้น แม้จะปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จะเสด็จขึ้นไปช่วยรักษาพยาบาล แต่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยังคงโทมนัสอาลัยอาวรณ์ในชะตาวาสนาของพระองค์เองที่จะมีพระชนม์ชีพไม่ยืนยาว จึงทรงมีพระดำรัสให้ได้ยินว่า

"ทั้งของใหญ่ของดีที่กูสร้าง

ทุกทุกอย่างเป็นแรงกูสร้างสม

แม้วันใดลูกกูผู้ทรงกรม

ไม่ได้ชมให้ล่มจมสมคำกู"

เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จสวรรคตได้ 3 ปี ครั้นถึงปี 2349 กรมพระราชวังหลังทิวงคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงพระราชทานอุปราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีความปรากฏในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า "ครั้นนั้นคุณเสือ (เจ้าจอมแว่น) กราบทูลว่าพระราชวังบวรฯ ร้างไม่มีเจ้าของทรุดโทรมยับเยินไป เหย้าเรือนข้างในก็ว่างเปล่ามาก ขอพระราชทานให้เชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ขึ้นไปครอบครองจึงจะสมควร"

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ดำรัสว่า "จะไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขา เขาแช่งเขาชักไว้เป็นหนักหนา" ดังนั้นเมื่อทำพระราชพิธีอุปราชาภิเษกแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จคงประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมต่อมาจนสิ้นรัชกาลที่ 1

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราชอยู่ 3 ปี ถึงปี 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จผ่านพิภพ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราชพระบัณฑูรน้อย เป็นพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เวลานั้นที่วังหน้าว่างมา 7 ปี ทรงพระราชดำริว่าเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราชสร้างไว้ใหญ่โต เป็นของสำคัญสำหรับแผ่นดินหาควรจะทิ้งให้ร้างอยู่ไม่ ควรจะให้พระมหาอุปราชพระองค์ใหม่เสด็จขึ้นไปครอบครองรักษาพระราชวังบวรฯ เมื่อทรงพระราชดำริจะให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จขึ้นไปอยู่วังหน้าครั้งนั้น มีเสียงโต้แย้งอ้างถึงความเก่าที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงแช่งสาปไว้ และมีเสียงผู้ที่คิดแก้ กล่าวว่า ถ้ากรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่คิดอ่านให้เกี่ยวดองในพระวงศ์ของกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์แรกไว้แล้ว ก็เห็นจะพ้นพระวาจาที่ทรงสาปนั้น ความอันนี้สมด้วยพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงไว้ว่า เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ ในรัชกาลที่ 2 เสด็จขึ้นไปประทับอยู่ที่พระราชวังบวรฯ มีผู้คิดอ่านจะให้อภิเษกกับเจ้าฟ้าพิกุลทอง พระราชธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทกับเจ้าศรีอโนชา แต่เผอิญเจ้าฟ้าพิกุลทองประชวรสิ้นพระชนม์เสียก่อน (สิ้นพระชนม์เมื่อปี 2353)

กรมพระราชบวรเสนานุรักษ์ เมื่ออุปราชาภิเษกนั้นพระชนมายุได้ 36 พรรษา เมื่อเสด็จไปประทับอยู่พระราชวังบวรฯ ไม่ปรากฏว่าทรงสถาปนาการอย่างใดเพิ่มขึ้นใหม่ในวังหน้า ถ้าจะมีก็เห็นจะเพียงซ่อมแซมพระราชมณเฑียรบ้างเล็กน้อย ด้วยพระราชวังบวรฯ ว่างมาเพียง 7 ปี สิ่งของที่สร้างไว้แต่ครั้งรัชกาลที่ 1 เห็นจะยังบริบูรณ์อยู่โดยมาก

กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ดำรงพระยศพระมหาอุปราชได้เพียง 8 ปี ในปี 2360 ก็ประชวรเป็นพระยอดที่ประทับ ครั้นอาการประชวรหนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นไปประทับแรมที่ในพระราชวังบวรฯ ทรงดูแลรักษาพยาบาล สมเด็จพระอนุชาธิราชอยู่หลายราตรี จนเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศร์ในพระราชวังบวรฯ พระชนมายุได้ 44 พรรษา

เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ สวรรคตแล้ว วังหน้าว่างมาอีก 7 ปี ด้วยไม่ได้ทรงตั้งพระมหาอุปราชมาจนตลอดรัชกาลที่ 2 ในระหว่างนั้นเจ้านายฝ่ายในพระราชวังบวรฯ ทั้งที่เป็นพระราชธิดาในกรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 เสด็จลงมาอยู่ตำหนักในพระราชวังหลวงหลายพระองค์ แต่พระองค์เจ้าดาราวดี พระราชธิดากรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ 1 นั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิพลเสพทูลขอไปเป็นพระชายา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี 2367 โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นมหาศักดิ์พลเสพ (พระนามเดิม พระองค์เจ้าอรุโณทัย หรือพระองค์เจ้าช้าง พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่) โปรดเกล้าฯ ให้มีการรื้อและสร้างอาคารต่างๆ ภายในพระราชวังบวรฯ เป็นอันมาก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าขึ้น ตรงบริเวณที่เคยเป็นสำนักชีเมื่อครั้งสมัยกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์แรก และรื้อออกทำเป็นสวนกระต่ายเมื่อสมัยกรมพระราชวังบวรเสนานุรักษ์ ปัจจุบันโบราณสถานแห่งนี้ยังตั้งเด่นเป็นสง่าแก่วิทยาลัยนาฏศิลป พระองค์ทรงดำรงพระยศพระมหาอุปราชเป็นเวลา 8 ปี เสด็จสวรรคตในปี 2375 จากนั้นตำแหน่งพระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่างลงเป็นเวลา 18 ปี

กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ ทรงมีพระโอรสพระองค์เดียวกับพระองค์เจ้าหญิงดาราวดี พระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหา สุรสิงหนาทและเจ้าจอมมารดาน้อย คือพระองค์เจ้าชายอิศราพงศ์ ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นเจ้าฟ้าอิศราพงศ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา n

Thailand Web Stat