จูล่ง มีดีที่ตรงไหน
...เล่าปี่เคยกล่าวไว้ "จูล่งมีดีทั้งตัว"...ขอทุกท่านอย่างเพิ่งคิดลึกไป...
...เล่าปี่เคยกล่าวไว้ "จูล่งมีดีทั้งตัว"...ขอทุกท่านอย่างเพิ่งคิดลึกไป...
ถ้าถามผู้คนว่าจูล่งมีดีที่ตรงไหน คงมีไม่น้อยที่ตอบว่ามีดีที่ฝีมือการรบ จูล่งเป็นยอดนักรบอันดับต้นๆ แห่งยุคสามก๊ก มีฝีมือขนาดไหนดูได้จากวีรกรรม "ฝ่าทัพรับอาเต๊า"
เรื่องมีอยู่ว่าขณะที่เล่าปี่หนีการไล่ล่าของทัพ โจโฉ กองทัพเล่าปี่ไม่สามารถทำเวลาได้เพราะมีชาวบ้านที่รักเล่าปี่ร่วมเดินทางด้วย ความทุลักทุเลจึงบังเกิด
เล่าปี่ไม่ทิ้งชาวบ้านไม่ทิ้งพวกพ้องแต่ดันลืมลูกเมีย ขณะคับขันครอบครัวพลัดหลงกับเล่าปี่ ทัพโจโฉก็กระชั้นเข้ามา จัดเป็นช่วงเวลาเป็นตาย
ช่วงนั้นเอง ทหารนายหนึ่งเข้ารายงานว่า จูล่ง ขี่ม้าตัวคนเดียวสวนทางขึ้นเหนือมุ่งทัพโจโฉ จูล่งคงหนีไปสวามิภักดิ์กับโจโฉแล้วเป็นแน่แท้... เล่าปี่เชื่อใจในจูล่ง จึงตวาดและไล่ตะเพิดทหารนายนั้นไป เล่าปี่รู้ดีว่าจูล่งไม่ใช่คนแบบนั้น...
แล้วจูล่งไปไหน...
สักพักใหญ่จูล่งกลับมาพบเล่าปี่พร้อมทารกในอ้อมอก ทารกนั่นคืออาเต๊า-ลูกเล่าปี่ที่พลัดหลงไปในความชุลมุนที่จูล่งบุกเดี่ยวย้อนศรไปค้นหามา
ควบม้าเดี่ยวรั้งสวนเข้าไปสู่ทัพใหญ่ที่ไล่ตามตี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสี่ยงตายเพียงใด จูล่งอุ้มอาเต๊าซ่อนไว้ในเกราะอก บุกเดี่ยวกลับมาได้ในที่สุด วรรณกรรมสามก๊กว่า จูล่งสังหารทหารเอกของโจโฉไปถึงห้าสิบกว่าคน... "เสื้อเกราะจูล่งดุจรดด้วยน้ำครั่ง"
เล่าปี่เห็นความกล้าหาญและทุ่มเทของจูล่ง ถึงกับกล่าวโทษอาเต๊าที่นอนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่า "เจ้าเกือบทำให้ข้าต้องเสียจูล่งไปเสียแล้ว!" ว่าแล้วก็โยนอาเต๊าทิ้งลงพื้น โชคดีที่จูล่งรับเอาเต๊าเอาไว้ทัน
เป็นอันว่าชื่อตอน "จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า" ควรจะเว้นวรรคอีกสักแห่งจึงถูกต้อง เพราะมาจากวีรกรรม "ฝ่าทัพ" โจโฉ และความว่องไวในการ "รับอาเต๊า" ก่อนตกถึงพื้น ...เห็นได้ว่าจูล่งมีฝีมือในการรบที่พิสดารและความว่องไวเป็นเลิศ
แต่จูล่งมีดีแค่ฝีมือการรบและความว่องไวในการรับอาเต๊าจริงหรือ?
จูล่งยังมีผลงานการรบพิสดารอีกอย่างที่ดูเหมือนว่าขงเบ้งจะเบียดบังไป นั่นก็คือกลเมืองว่าง
เรื่องมีอยู่ว่าในสมรภูมิฮั่นซุย โจโฉยกทัพใหญ่รบทัพเล่าปี่ ฮองตง-ทหารอาวุโสของเล่าปี่อาสาลอบโจมตีแย่งชิงเสบียงทัพโจโฉ แต่ฮองตงยกทัพไปแล้วกลับเหมือนไปลับ จนเลยเวลาที่วางแผนไว้ก็ยังไม่กลับมา
จูล่งเห็นไม่ได้การ ส่งเมสเซจไปถามก็ไม่ได้ จะยกทัพใหญ่ไปก็เกรงเอิกเกริก จึงตัดสินใจนำกองกำลังทหารหลักสิบออกตามทัพฮองตง เมื่อถึงฐานที่มั่นใหญ่ของ โจโฉจึงรู้ว่าฮองตงเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในวงล้อม จูล่งตัด สินใจบุกทะลวงเข้าไปจนช่วยเหลือตัวฮองตงออกมาได้
แทนที่จะจบอย่างชื่นมื่น ปรากฏว่ายังมีรองแม่ทัพอีกคนบาดเจ็บติดอยู่ข้างในอีก จูล่งไม่บ่ายเบี่ยงถอดใจ ขอตะลุยเข้าไปอีกรอบ จนช่วยเหลือรองแม่ทัพที่บาดเจ็บอยู่หนีออกมาได้ครบ
คนอย่างโจโฉจะยอมเสียโอกาสได้ซะที่ไหน โจโฉยกทัพออกไล่ตามตีทันที
จูล่งควบม้ากลับมาถึงค่าย ในค่ายรู้ว่าจูล่งเอาของแถมมาด้วยต่างระส่ำระสายเร่งจะปิดประตู จูล่งกลับทำตรงกันข้าม รีบบัญชาการให้เปิดประตูค่าย ไม่ต้องชักธงขึ้น ไม่ต้องตีกลองรบ...รักษาความสงบไว้
ใช่แล้ว จูล่งใช้แผน "กลค่ายว่าง"
โจโฉยกทัพมาถึงค่าย เห็นประตูค่ายเปิดอ้าซ่า สถานการณ์สงบนิ่ง แม่ทัพร้อยเล่ห์อย่างโจโฉย่อมเห็นเป็นเรื่องประหลาด สั่งหยุดทัพใช้สติตรองดู "ต้องมีทัพซุ่มโจมตีแน่นอน" รีบสั่งถอนกำลังกลับ
คำสั่งถอยฉุกละหุก ทำให้ทหารเลวบ้างงงงวยบ้างเสียขวัญ ที่สำคัญคือเสียกระบวน จูล่งใช้โอกาสนี้สั่งพลธนูเร่งยิงโจมตีทัพโจโฉ ทัพโจโฉแตกกระจาย บ้างล้มตายด้วยลูกธนู บ้างเหยียบกันตายก็มี
"กลค่ายว่าง" นี้มีบันทึกในประวัติศาสตร์จริง ไม่เหมือนกลเมืองว่างของขงเบ้งที่ผู้คนที่ศรัทธาในขงเบ้งแต่งเติมขึ้นเอง
แต่ไม่ว่าใครใช้กลยุทธ์นี้สำเร็จมักได้รับคำชื่นชมในสติปัญญา แต่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าหลังจากวีรกรรมครั้งนี้เล่าปี่เอ่ยปากชื่นชมว่า "จูล่งมี(ถุงน้ำ)ดีทั้งตัว"...
.อย่างเพิ่งงงไป คติความเชื่อจีนเชื่อว่า "ดี" () คือ บ่อเกิดความกล้าหาญ เวลาคนจีนชมว่าใครถุงน้ำดีใหญ่ จึงหมายถึงว่ามีความกล้าหาญ ในทางตรงกันข้ามถ้าบอกว่าดีเล็กก็คือขี้ขลาด สำนวน "ไปกินใจหมีดีเสือมาจากไหน" ก็มาจากคตินี้เช่นกัน ประโยคข้างต้นจึงขอแปลใหม่ว่า
หลังจากวีรกรรมครั้งนี้ เล่าปี่ขึ้น Status ชื่นชมว่า "จูล่งกล้าหาญอย่างยิ่งยวด" (คนอื่นอย่างมากก็ดีใหญ่ แต่เล่าปี่ยกให้จูล่งมีดีทั้งตัว)
จะว่าไปเล่าปี่ก็ชื่นชมได้ถูกจุด วีรกรรมทั้งสองที่ยกมาโดดเด่นที่สุดตรงความกล้าหาญ หากไม่กล้าจริง คงไม่ควบม้าลุยเดี่ยวเสี่ยงภัยไปหาอาเต๊า ไม่กล้าจริงคงไม่ยกทัพหลักสิบเข้าไปช่วยฮองตงและรองแม่ทัพ และหากไม่กล้าจริงก็คงไม่กล้าใช้กลเมืองว่าง (ที่จริงขงเบ้งในประวัติศาสตร์จริงไม่ใช่คนประเภทที่จะใช้กลเมืองว่างได้ เพราะแม้มีสติปัญญามาก แต่เน้นความรอบคอบ ไม่ชอบความเสี่ยงฉุกละหุก)
จูล่งไม่ได้กล้าแค่ในสนามรบ เมื่อครั้งที่เล่าปี่เข้ายึดดินแดนเสฉวนได้ใหม่ กำลังจะแบ่งเค้กตกรางวัลให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งก็คือการแบ่งที่นาและแรงงานชาวบ้านให้ลูกน้องแต่ละคนเอาไปครอบครอง ว่าแล้วก็มีหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วย เป็นเสียงที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก นั่นคือเสียงของจูล่ง
จูล่งปรามว่าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ชาวบ้านในเสฉวนเพิ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จิตใจระส่ำ ไม่ควรแทรกแซงชีวิตปกติให้เสียขวัญ ควรให้ชาวบ้านกลับสู่สถานการณ์เดิมให้เร็วที่สุด เมื่อชาวบ้านทั้งหลายมีใจกลับมาใช้ชีวิตทำไร่ไถนาและประกอบสัมมาอาชีพกันตามปกติ ย่อมมีผลดีต่อกลุ่มของเล่าปี่เอง เพราะยิ่งฟื้นฟูได้เร็ว ย่อมได้ประโยชน์จากการเก็บภาษี และสามารถเกณฑ์ผู้คนเข้าร่วมทัพได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญ ก็คือ หากทำได้เช่นนี้ได้ ผู้คนย่อมสนับสนุนกลุ่มผู้ปกครองที่เข้ามาใหม่เช่นเรา
มองผิวเผินอาจเป็นแค่การโชว์โลกสวย แต่คนที่ลุกขึ้นมาพูดเช่นนี้กับเจ้านายได้ในสถานการณ์จริงย่อมรู้ว่ากำลังขัดผลประโยชน์ของพวกพ้อง แต่จูล่งก็กล้าลุกขึ้นมาพูด
จูล่งที่ใช้ชีวิตในสนามรบไม่ใช่สนามการเมืองคนนี้แหละ ที่กล้านำเสนอผลประโยชน์ระยะยาวโดยไม่กลัวการขัดผลประโยชน์ของคนใกล้ตัว
คือความกล้าหาญอย่างยิ่งยวดนอกสนามรบ
ประเมินคนอย่างจูล่งกันตามจริง อาจบอกได้ว่าเขามีฝีมือการรบที่ร้ายกาจ แต่อันที่จริงทุกวีรกรรมที่จูล่งทำ สรุปได้ว่าเขาใช้ความกล้าหาญมานำพาชีวิต
ความกล้าหาญ คือ ประตูสำคัญที่คนจะสร้างวีรกรรมต้องผ่านให้ได้ ไม่ว่าจะฝ่าอันตรายในสนามรบ หรือฝืนกระแสผิดทิศในสังคม
หากจูล่งอาศัยแค่ฝีมือในการใช้ชีวิต จูล่งคงอยู่ได้แต่ขอบข่ายของการเป็นเพียงนักรบคนหนึ่ง แต่ จูล่งเป็นจู่ล่งที่น่านับถือตามที่เรารู้จักกัน เพราะเขาใช้ความกล้าหาญนำ ไม่ว่าในหรือนอกสนามรบ
เล่าปี่ชื่นชมว่า "จูล่งมีดีทั้งตัว" (กล้าหาญอย่างยิ่งยวด) จึงถือว่าคำชมนี้มองจูล่งได้ถึงแก่น n