วันเพื่อการขจัด ความยากจนระหว่างประเทศ
ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล
ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล
17 ต.ค. 1987 ประชาชนกว่า 1 แสนคน มารวมตัวกัน ณ จัตุรัสสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้เกียรติแก่เหยื่อของความยากจน ความอดอยาก ความรุนแรง และความกลัว หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1992 องค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้วันที่ 17 ต.ค.ของทุกปี เป็นวันเพื่อการขจัดความยากจนระหว่างประเทศหรือวันยุติความยากจนสากล (International Day for the Eradication of Poverty)
การพึ่งพาตนเองและรู้จักความพอเพียงเท่านั้นที่จะเป็นหนทางการขจัดความยากจนอย่างยั่งยืน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2541 ว่า "เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า"
Wealth Corner ในฉบับนี้ จึงขอถือโอกาสในวันนี้เสนอบันได 4 ขั้น เพื่อเป็นแนวทางการขจัดความยากจนแบบง่ายๆ ที่ทุกคนเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ชีวิตมีความมั่งคั่ง มีความมั่นคงและยั่งยืน
1.การสร้างความมั่งคั่ง การขจัดความยากจนต้องเริ่มต้นจากการรู้จักประกอบสัมมาชีพให้ได้รายได้มาเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว แต่การหารายได้ให้สร้างความมั่งคั่งเพื่อขจัดความยากจนให้หมดลงอย่างสิ้นเชิงก็จะต้องเป็นการประกอบอาชีพที่เรารักและถนัด รวมทั้งเป็นอาชีพที่ยังอยู่ในความต้องการของตลาดแรงงาน การทดสอบความถนัดทางอาชีพ รวมไปถึงการค้นหาแนวทางในการประกอบธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ในปัจจุบันสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายผ่านทางอินเทอร์เน็ตในยุคประเทศไทย 4.0 เพียงแค่ว่าเรามุ่งมั่นที่จะตั้งต้นค้นหาวิถีการสร้างรายได้ที่เหมาะกับเราหรือยังเท่านั้นเอง
2.การปกป้องความมั่งคั่ง บางครั้งความยากจนอาจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขี้เกียจ หากแต่บางครั้งก็เกิดขึ้นเพราะโชคชะตา หลายคนหลายครอบครัวอาจยากจนจากเหตุที่ไม่คาดฝันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่ทำให้ต้องเสียทรัพย์ เสียสุขภาพที่จะหารายได้ในอนาคต เสียชีวิตของเสาหลักที่ค้ำจุนครอบครัว การวางแผนการประกัน ไม่ว่าจะเป็น การทำประกันชีวิต การทำประกันสุขภาพ และการทำประกันวินาศภัยที่อาจเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้สามารถขจัดความยากจนแบบที่ไม่คาดฝันได้
3.การต่อยอดความมั่งคั่ง การขยันประกอบสัมมาชีพในปัจจุบันก็อาจไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะเป็นการขจัดความยากจนได้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากในปัจจุบันราคาสินค้า/บริการต่างๆ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเหลือเกือบจะเป็นศูนย์ นอกจากนั้นแล้วคนไทยก็ยังมีอายุขัยยืนยาวมากขึ้น รวมทั้งบางคนก็อาจไม่มีลูกหลานดูแลยามแก่ชรา ซึ่งอาจส่งผลทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนยากจนในวัยหลังเกษียณ การขจัดความยากจนในช่วงอายุขัยที่เหลือที่แต่ละคนอาจไม่มีงานทำ อาจไม่มีลูกหลานดูแล แต่ยังต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี จึงต้องอาศัยการวางแผนการลงทุนเพื่อต่อยอดความมั่งคั่งไว้ใช้ในวัยหลังเกษียณ
4.การถ่ายโอนความมั่งคั่ง การขจัดความยากจนอย่างยั่งยืนเพื่อให้มั่นใจว่า ลูกหลานจะไม่กลายเป็นผู้ยากไร้ ก็ต้องรู้จักถ่ายโอนความมั่งคั่งไปยังทายาท ให้เสียภาษีให้ถูกสตางค์และถูกกฎหมาย รวมทั้งวางแนวทางในการจัดการมรดก เขียนธรรมนูญครอบครัวเพื่อเป็นแนวทางในการขจัดความยากจนไปจนชั่วลูก ชั่วหลาน
บันได 4 ขั้นเพื่อขจัดความยากจนอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่ทำไมหลายคนก็ยังไม่สามารถขจัดความยากจนได้อย่าง สิ้นเชิงเสียที นั่นก็เพราะหลายคนเพียงแค่ฟังและคิด แต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เคล็ดลับความสำเร็จของการขจัดความยากจนจึงอยู่ที่ประโยคสั้นๆ ว่า "Just Do It" เริ่มต้นค้นหาความรู้และแนวทางในการขจัดความยากจน และทำมันเดี๋ยวนี้ครับ