วันเดย์ทริปไม่รู้ลืม @แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

โดย พุสดี

 เอ่ยชื่อโรงแรม “แมนดาริน โอเรียนเต็ล” น้อยคงนักจะไม่รู้จัก  แต่อยู่ที่ว่าใครจะรู้จักกับโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์อยู่คู่สังคมไทยมายาวนานแห่งนี้ในแง่มุมไหน เพราะไม่ว่าเดินไปตรงไหนของโรงแรมก็มีเรื่องราวให้ชวนรู้ มีกิจกรรมมากมายให้ใช้เวลา

 นี่จึงกลายเป็นที่มาของวันเดย์ทริปสุดเก๋ ที่เหมาะกับวันหยุดสบายๆ สำหรับคนที่มองหารสชาติการท่องเที่ยวแบบใหม่ ที่ไม่ต้องหมดพลังกับสภาพการจราจรบนท้องถนน เพราะสามารถเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้า แล้วนั่งเรือของโรงแรมต่อมาก็ถึง

แถมมาที่เดียวได้ครบรส ทั้งการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ การผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า และประสบการณ์กินดื่มแบบเหนือชั้น  

เริ่มต้นวันเดย์ทริปด้วยการมาเยือนโรงแรม แนะนำให้เดินทางมาโดยรถไฟฟ้า เลือกลงที่สถานีตากสิน จากนั้นขึ้นเรือโรงแรมมาเลย

 มาแล้วแนะนำให้เลือกปักหมุดที่ฝั่งบางรักก่อน เพราะสาย ๆ วันหยุดแบบนี้ จะมีอะไรดีกว่า การไปเติมอาหารสมอง ฟินกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโรงแรมแห่งแรกในประเทศไทย ผ่านนิทรรศการ “The Oriental Journey” จัดแสดงเรื่องราวตลอด 141 ปีของโรงแรมไว้ตลอดโถงทางเดินที่ทอดยาว

 พาย้อนวันวานไปสู่ยุคสมัย รัชกาล 5 สมัยที่ชาติตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อทำการค้าขายกับไทยผ่านทางแม่น้ำเจ้าพระยา กระทั่งมีการก่อตั้งโรงแรมโอเรียนเต็ลขึ้นบนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และดำเนินกิจการเรื่อยมา กระทั่งในปี 2517 บริษัท อิตัลไทย ร่วมกับบริษัท ฮ่องกงแลนด์ เข้ามาเป็นเจ้าของกิจการ และในปีต่อมาได้ก่อตั้งเครือโรงแรมโดยนำชื่อของโรงแรมแมนดาริน และโรงแรมโอเรียนเต็ลไว้ด้วยกันกลายเป็น  “แมนดาริน-โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ป”

 นับตั้งแต่ก่อตั้ง โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ได้ให้การต้อนรับเชื้อพระวงศ์ ตลอดจนเหล่าบรรดาแขกเซเลบริตี้จากหลากหลายวงการ

 แม้โถงนิทรรศการดังกล่าวจะไม่ได้โอ่โถง แต่ก็ชมเพลินราวกับเดินทะลุประตูทวิภพข้ามมิติย้อนวันวานไปจริงๆ เดินมาจนสุดโถง อย่าเพิ่งอ้อมกลับ เพราะนี่คืออีกหนึ่งจุดหมายที่น่าสนใจ กับไฮไลต์ใหม่ของโรงแรมอย่าง “สปา สตูดิโอ” โซนที่เรียกว่าเป็นสวรรค์ของสาวๆ อย่างแท้จริง

 ตั้งอยู่ที่อาคารการ์เดน วิงค์ สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์แขกของโรงแรมที่มารอทำธุระที่โรงแรม ไม่ว่าจะเป็นมาประชุม มาร่วมงานแต่งงาน ได้แวะมาเติมสวย ผ่อนคลายร่างกายภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง

 แค่ก้าวแรกที่เข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกลับมาบ้าน ภายในประกอบด้วยห้องทรีตเมนต์สำหรับให้บริการนวดหน้า บริการแวกซ์ นวดศีรษะ บ่า และเท้า แต่ที่พลาดไม่ได้คือ บริการทำเล็บมือเล็บเท้าจากบาสเตียน กอนซาเลซ นักบำบัดและผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระมือ เท้า เล็บมือ เล็บเท้าจากประเทศฝรั่งเศส รับรองว่ามาแล้ว จะลืมการทำเล็บแบบเดิมไปเลย เพราะที่นี่เป็นการทำเล็บแบบแห้ง ไม่ต้องเอามือหรือเท้าแช่น้ำ เพราะใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาเป็นตัวช่วย คืนความเงางามแบบธรรมชาติให้กับเล็บ ชนิดที่ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยอมตัดใจไม่ทาสีเล็บกลับไป

 ชิลกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ พร้อมผ่อนคลายแล้ว ได้เวลาอาหารกลางวัน แนะนำให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศนั่งเรือของโรงแรม ข้ามไปชิมบุฟเฟ่ต์อาหารไทย ที่ศาลาริมน้ำ ซึ่งตกแต่งด้วยลวดลายสีทองดูหรูหราไม่เบา

 ทีเด็ดของบุฟเฟ่ต์ไลน์ที่นี้คือ เป็นการรวบรวมเมนูอาหารไทยรสเด็ดทั้งหมดไว้ทีเดียว ครบทั้งเมนูของกินเล่น น้ำพริก ยำ แกง และอาหารจานหลักอีกมากมายละลานตาจนเลือกไม่ถูก แถมยังสร้างกิมมิกด้วยการเปลี่ยนไลน์บุฟเฟ่ต์แบบเดิม เป็นซุ้มรถเข็นแบบโบราณให้อารมณ์สตรีทฟู้ด อิ่มจากของคาว อย่าลืมต่อด้วยกองทัพของหวานที่เป็นเมนูแบบไทยๆ เห็นแล้วเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

 เสร็จจากอาหารกลางวัน ใครที่ยังพลังเหลือ จะเดินเล่นรอบๆ แล้วค่อยนั่งเรือชิลๆ ข้างฝั่งกลับมาก็ได้ เพราะบริเวณรอบๆ โรงแรมยังมีมุมสวยๆ เรื่องราวดีๆ อีกมากมายรอให้สัมผัส

 เดินเล่นถ่ายรูปจนเหนื่อย ก็แวะมาจิบน้ำชายามบ่ายที่ออเธอร์ส เลานจ์ ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าหลงใหลของสไตล์โคโลเนียล ชิมชาชั้นเลิศ กับหลากหลายเมนูขนม ใครที่เป็นทีเลิฟเวอร์ แนะนำ ชามาริยาจค์ แฟรร์ สุดยอดชาชั้นเลิศจากฝรั่งเศส จิบเพลินๆ หมดกาไม่รู้ตัว

 ถัดจากน้ำชายามบ่าย อย่าเพิ่งรีบกลับบ้าน ลองสัมผัสกับบรรยากาศยามเย็นริมน้ำ พร้อมมาสัมผัสอีกหนึ่งตำนานของโรงแรม ณ เดอะ แบมบู บาร์ บาร์แจ๊ซชั้นนำแห่งแรกในประเทศไทยที่มีอายุถึง 88 ปีแล้ว

 เอกลักษณ์ของบาร์แห่งนี้ ซึ่งเพิ่งปรับโฉมใหม่ไม่นาน คือการนำไม้ไผ่มาเป็นองค์ประกอบหลักในการรังสรรค์เฟอร์นิเจอร์ มานั่งแล้วไม่อยากกลับ โดยเฉพาะใครที่เป็นสายม็อกเทล-ค็อกเทล ถ้าจะให้ฟิน ลองเลือกที่นั่งตรงบาร์ จะได้ดื่มด่ำกับลีลาการชงเครื่องดื่มของมิกซ์โซโลจีสที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ 

 ประสบการณ์วันเดย์ทริปแบบไม่ต้องไปไกล แต่ได้ครบรส พร้อมให้คุณมาสัมผัสได้ทุกวัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 02-659-9000