ใช้ P/E Ratio เลือกหุ้นอย่างไร ให้กำไร
BottomLinerหลายท่านคงรู้จัก P/E หรือ PE ราคาปิดเทียบกำไรสุทธิ ... Ratio นี้มีความหมายซ่อนอยู่เยอะ และมีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเยอะเช่นกัน วันนี้จะนำเสนอเทคนิคที่แอดฯ ใช้ประจำครับ มันสะท้อนจิตวิทยาลงทุนของนักลงทุน
BottomLiner
หลายท่านคงรู้จัก P/E หรือ PE ราคาปิดเทียบกำไรสุทธิ ... Ratio นี้มีความหมายซ่อนอยู่เยอะ และมีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเยอะเช่นกัน วันนี้จะนำเสนอเทคนิคที่แอดฯ ใช้ประจำครับ มันสะท้อนจิตวิทยาลงทุนของนักลงทุน
ก่อนอื่นต้องเข้าใจความหมายของ P/E มาจาก ราคาต่อหุ้น (Price) หารด้วย กำไรต่อหุ้น (EPS) เราจะมองมัน เสมือนเราคิดจะทำธุรกิจจริงๆ
ยกตัวอย่าง : ท่านเข้าไปซื้อตอนหุ้น P/E 10 เท่า ราคา 10 บาท/หุ้น ณ ขณะนั้น บริษัทมีกำไรสุทธิ 1 บาท/หุ้น ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา แสดงว่า ถ้าบริษัทสามารถทำกำไรได้เท่าเดิม ท่านจะได้เงินปีละ 1 บาท แปลว่า 10 ปี คืนทุน
ท่านอาจจะเห็นหุ้นที่ขึ้น 100% โดยที่ P/E จาก 10x ไป 20x แล้วแบบนี้นักลงทุนที่ซื้อหุ้น ที่ P/E 20x เขาคิดจะรอนานขนาดนั้นเชียวหรือ? คำตอบคือไม่ใช่ เพราะบริษัทสามารถเติบโตได้ครับ E ที่เห็นนั้นคืออดีต ดังนั้น หากคิดด้วยหลักเหตุผล สิ่งที่ทำให้คนซื้อเข้าไป คือความคาดหวังล้วนๆ คิดว่าธุรกิจจะดี มีกำไร (E) จะโตโต๊โต ปีละ 20-30% จนปีถัดๆ ไป P/E จะลดลงมาโดยปริยาย (แม้ส่วนมากไม่คิดเลข แค่คิดว่ามันจะดีๆ ก็รวมเข้าเคสนี้ครับ)
แต่หลักการและเหตุผลนี้เป็นจริงแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วตลาดซื้อขายบนความรู้สึก เทียบอะไรที่เทียบได้ เช่น ดูจากอดีต หรือเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน หุ้นทุกตัวจะมี P/E Band ของมันอยู่ เช่น โดยปกติแล้ว จะให้ P/E 20x ในช่วงแย่ให้ 10x ช่วงบูมให้ 40x จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เช่น มีวิกฤตกำไรหาย P/E จะสูงมากชั่วคราว หรือมีอะไรแปลกๆ เข้ามาให้หุ้นขึ้นจนต้องร้องขอชีวิต
ถ้ามองดีๆ P/E ก็คือตัวสะท้อนความคาดหวังนั่นเอง ถ้าคาดหวังเยอะ P/E ก็จะสูง ถึงตรงนี้เอง เราสามารถมองหุ้นขึ้นได้ 2 แบบ โดยแตก P และ E ออกจากกัน คือ
1.เกิดความคาดหวัง จึงแห่กันซื้อ โดยที่งบไม่ออก จนผลักราคา (P) ขึ้น ทำให้ PE สูงขึ้น (Re-Rating) - พวกนี้คือ เล่นข่าว โดยเฉพาะเรื่องที่สามารถทำให้คนเชื่อได้ว่ามันจะกลับไปดี
2.กำไรเติบโตจริง แต่ตลาดคิดไม่ทัน ทำให้ E ที่เป็นตัวหารสูงขึ้น PE รวมลดลง คนเห็นว่า ถูกเห็นงบดี ก็รีบแห่ๆ กันตามซื้อเข้าไป (มักจะเกิดขึ้นในช่วงธรรมดาหรือแย่)
โดยทั่วไปหุ้นมักจะขึ้นแบบที่ 1 และหลังจากนั้นไม่นาน กำไรก็จะตามมา จนถึงจุดหนึ่งที่กำไรตามไม่ทัน จุดนั้นก็จะเกิดอาการ (De-Rating) คือ P/E ลดลง เพราะเชื่อว่างบในอนาคตจะไม่ดี กำไร (E) จะหายไป
นี่คือวัฏจักรหุ้นที่พบเห็นทั่วไป คำว่า หุ้นดี มักจะเกิดตอนที่หุ้นขึ้นไปแล้ว งบดีต่อเนื่อง เม่าเข้าไม่หยุด แต่ไม่รู้ทำไมหุ้นมันไม่ขึ้นต่อสักที เป็นเพราะมันเลยจุด P/E Re-Rating ไปแล้ว ไปอยู่ที่ช่วงรอดูผลประกอบการจริงๆ ว่าดี สมควรค่าแก่ความคาดหวังขนาดนี้หรือไม่
ดังนั้น ถ้าเล่นรอบหุ้นขาขึ้น ไม่ต้องกังวลคำว่าแพง ถ้ามันยังมีสตอรี่ แต่ให้ระวังถ้า Earning Growth ตามไม่ทัน เช่น กลุ่มโรงพยาบาลอย่าง BDMS คือตัวอย่างที่ดี สตอรี่เริ่มต้นจาก แย่งกันเป็นเจ้าของ ไม่พอ ธุรกิจโรงพยาบาลอนาคตสดใส โรงพยาบาลมีไม่พอ หุ้นวิ่งขึ้นมาจนได้รับการกล่าวขานเป็นหุ้นเทพ แต่แล้วก็แช่แป้งเป็นปีๆ จนเม่ารับของไปหมด งบเริ่มไม่โตได้ตามเป้า โรงพยาบาล Supply ล้น สิ้นมนต์ขลังหุ้นโรงพยาบาล...
ถึงจุดนี้วัดกันแล้วว่าหุ้นดีหรือไม่ดีจริง ถ้าไม่ดีจริง น้ำลดตอผุด หุ้นมักจะลงเหว เพราะหุ้นจะถูก De-Rating ลงมา และรอดูว่ากำไรเป็นเท่าไร ถ้าดีจริง มีกำไร ยังพอไถๆ ให้ P/E มันยืนได้ เรียกว่าเป็นระยะ Sideway กว้างๆ จนกว่า Supply Demand จะกลับมา และ Smart Money จะเข้าตอนนั้นแหละครับ (ไม่ว่าจะจับจุดเทพ หรือว่ามีข่าววงในอะไรก็แล้วแต่)