ทิศทางการลงทุนปี 2561…กระทิงจริงหรือ
ในช่วงต้นปีของทุกปี สถาบันการเงินใหญ่ ระดับโลกอย่างโกลด์แมน แซคส์, ยูบีเอส, เครดิตสวิส, ซิตี้กรุ๊ปหรืออื่นๆ
โดย สมิทธ์ พนมยงค์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์
ในช่วงต้นปีของทุกปี สถาบันการเงินใหญ่ ระดับโลกอย่างโกลด์แมน แซคส์, ยูบีเอส, เครดิตสวิส, ซิตี้กรุ๊ปหรืออื่นๆ มักจะจัดงานสัมมนาเศรษฐกิจการลงทุนให้กับลูกค้านักลงทุนสถาบัน (Global Macroeconomic and Investment Seminar) ในงานสัมมนาเหล่านั้นมักจะมีนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง อาทิ ผู้ว่าธนาคารกลาง รัฐมนตรีและผู้จัดการกองทุนระดับโลก มาสนทนาเกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทุกปี
งานสัมมนามักจะให้ความสำคัญกับข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจการเงิน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การผลิต ภาคอุตสาหกรรม และบริการ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลเตรียมพร้อมจัดพอร์ตการลงทุน และที่สำคัญจะขาดไม่ได้ก็คือปัจจัยเสี่ยง ที่อาจเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง กรณีพิพาทระหว่างประเทศ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง หรือปัญหาหนี้สินทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลก
งานสัมมนาที่ผมได้โอกาสเข้าร่วมในปี 2561 นี้ นักลงทุนที่เข้าร่วมงานสัมมนาต่างเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้ดีมาก ประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ก็เติบโตกันถ้วนหน้า ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันก็ได้อานิสงส์จากราคาที่ปรับขึ้น ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่พึ่งพาการส่งออกก็เติบโตได้ดีเพราะประเทศผู้นำเข้ามีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น หมายถึง ธนาคารกลางทั่วโลก หรือธนาคารกลางสหรัฐ ก็คงขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆ เพราะแทบไม่มีเงินเฟ้อ หรือปัจจัยผลักดันให้ต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย ทุกอย่างดูดีไปหมด
แต่ที่น่าเป็นกังวลที่สุดคือไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องปัจจัยเสี่ยงเลย ผู้เข้า ร่วมสัมมนาต่างดูจะมั่นใจว่าปัญหา ในคาบสมุทรเกาหลีจะไม่มีใครจุดชนวนให้ปะทุขึ้นไปมากกว่านี้ ปัญหาหนี้ภาคเอกชนในจีนรัฐบาลจีนก็สามารถควบคุมอยู่ ปัญหาหนี้ภาครัฐของสหรัฐและญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องที่ยอมรับกันไปแล้ว และคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตราบเท่าที่เงินดอลลาร์และเงินเยนยังเป็นสกุลเงินหลักของโลก
ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปีต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วที่ขึ้นมามากพอสมควร ทั้งสหรัฐ ยุโรป จีน อินเดีย แข่งกันทำสถิติไม่เว้นแต่ละวัน นักวิเคราะห์ต่างก็ยังออกมาเชียร์ว่า ดัชนียังมีโอกาสไปต่อ และการลงทุน ในหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุดแม้ว่าราคาจะปรับขึ้นมามากแล้วก็ตาม
ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลเงินลงทุนของนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศกว่า 1.3 ล้านล้านบาท ผมก็อดเป็นกังวล ไม่ได้ว่าตลาดหุ้นพี่ใหญ่สหรัฐที่เป็นขาขึ้นหรือตลาดกระทิงที่ต่อเนื่องมายาวนาน ที่สุดกว่า 9 ปี นั้นจะสามารถฝืนกระแสธรรมชาติไปต่อได้อีกนานเท่าไรสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) ของตลาด S&P500 ที่กว่า 23 เท่า หากนำมาคิดคำนวณกลับเศษเป็นส่วนหาอัตราผลตอบแทนคือประมาณ 4.3% เมื่อนำมาเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของสหรัฐที่ทยอยปรับตัวขึ้นมาปัจจุบันอยู่ประมาณ 2.5% นั้น ก็จะเห็นว่าตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าไม่มากแล้ว ส่วนต่างของผลตอบแทนที่ตลาดหุ้นให้สูงกว่าอยู่ 1.8% หรือที่เรียกกันว่า Risk Premium นั้นถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวมาก ตลาดเองน่าจะเข้าใกล้จุดสูงสุดของรอบใหญ่นี้และอาจมีการปรับฐานครั้งใหญ่ได้ และทุกครั้งที่ตลาดใหญ่มีการปรับตัวลงแรง ตลาดเล็กๆ ก็พลอยจะโดนกันบ้างไม่มากก็น้อย
อย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้กล่าวไว้ว่า "จงกลัวในเวลาที่คนอื่นกล้า และจงกล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว" แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เวลาที่แน่นอนว่าตลาดจะลงเมื่อไหร่ ผมก็อยากแนะนำให้นักลงทุนทยอยปรับลดน้ำหนักในสินทรัพย์เสี่ยงลงบ้าง ที่กำไรมากแล้วก็ทยอยทำกำไรออกมาหน่อย มีการกระจายการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ และเก็บสภาพคล่องไว้บ้างเพื่อเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับฐานกันนะครับ