‘เอสเซ่’ สยายปีกรุกซีแอลเอ็มวี
พลพัต สาเลยยกานนท์ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องสำอางที่มีการวางแผนการตลาดในประเทศและการรุกสู่ตลาดต่างประเทศอย่าง "เอสเซ่" ที่มีการคิดค้นนวัตกรรมและทำการศึกษาผลงานวิจัยใหม่
พลพัต สาเลยยกานนท์
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องสำอางที่มีการวางแผนการตลาดในประเทศและการรุกสู่ตลาดต่างประเทศอย่าง "เอสเซ่" ที่มีการคิดค้นนวัตกรรมและทำการศึกษาผลงานวิจัยใหม่
นฤมล พุ่มฉัตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเซ่ บิวตี้ ผู้ผลิตเครื่องสำอางและอาหารเสริม เปิดเผยว่า กลยุทธ์การตลาดของบริษัทในปี 2561 จะให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของตัวแทนจำหน่ายที่ปัจจุบันมีทั่วประเทศ โดยเน้นการพัฒนาการทำตลาดออนไลน์ เนื่องจากกระแสความต้องการสินค้าผ่านอี-คอมเมิร์ซ สูงขึ้นต่อเนื่อง พร้อมการให้ความรู้กับตัวแทนจำหน่าย
ทั้งนี้ การให้คำแนะนำกับตัวแทนจำหน่ายนั้น มุ่งเน้นการแนะนำคุณภาพผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคให้เกิดการตระหนักรู้และบอกต่อในที่สุด ซึ่งบริษัทได้ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตแบบยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทผลิตสินค้าทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทในโรงงานของตัวเอง ซึ่งสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีการคิดค้นนวัตกรรมและการศึกษาผลงานวิจัยใหม่ เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางและอาหารเสริมให้ตรงตามเป้าหมายที่ต้องการให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากคุณภาพสินค้าให้มากที่สุด เนื่องจากมองว่าทิศทางของธุรกิจเครื่องสำอางมีแนวโน้มที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากกระแสการรักสุขภาพและการดูแลความสวยความงาม
ขณะที่ปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 20 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยจากสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านโปรโมชั่นและสงครามราคา ซึ่งบริษัทพยายามหลีกเลี่ยง มาโดยตลอด โดยมุ่งเน้นการให้ความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่โดยใช้ส่วนผสมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อาทิ สเต็มเซลล์ จากส้ม 100% เป็นต้น
สำหรับการขยายตัวแทนจำหน่ายนั้นมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ใช้ช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ควบคู่กับการจำหน่ายออฟไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีตัวแทนจำนวน 150 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ปีนี้บริษัทมีแผน ขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เนื่องจากตลาดเหล่านี้มีความเชื่อมั่นคุณภาพของสินค้าจากประเทศไทย ล่าสุดได้ทดลองทำตลาดในประเทศ สปป.ลาว ซึ่งในอนาคตจะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น โดยการลงทุนคงเน้นในเจรจาธุรกิจกับประเทศเพื่อนบ้านในลักษณะเป็นตัวแทนการจำหน่ายเป็นหลัก ซึ่งหาก สปป.ลาว ไปได้ดีจะเริ่มที่กัมพูชาและเมียนมาต่อไป
"ตอนนี้เน้นทำตลาดในประเทศเป็นหลัก ส่วนต่างประเทศเพิ่งเริ่มทำตลาดหากมีแนวโน้มที่ดีก็จะมีการตั้งเป้าสัดส่วนกันอย่างจริงจังต่อไป ซึ่งมองว่าตลาดซีแอลเอ็มวีเป็นตลาดที่น่าสนใจเพราะผู้บริโภคเริ่มมีรายได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจที่เริ่มดีและมีโรงงานต่างชาติเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง ทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศเพื่อนบ้าน มากขึ้น ประกอบกับสภาพผิวของผู้บริโภคต่างกับคนไทยไม่มาก และที่สำคัญสินค้าของคนไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ประเทศเพื่อนบ้านให้การยอมรับว่าเป็นสินค้าคุณภาพ"
ต้องติดตามผลตอบรับในต่างประเทศ ว่าจะช่วยดันเอสเซ่ให้เติบโตได้เพียงใด