วิทย์และเวทย์
ในโลกแห่งความจริง ดูเหมือนวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ หรือจะเรียกว่าวิทย์กับเวทย์
โดย ธเนศน์ นุ่นมัน
ในโลกแห่งความจริง ดูเหมือนวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ หรือจะเรียกว่าวิทย์กับเวทย์ ซึ่งให้ความหมายใกล้เคียงกัน สองสิ่งนี้นับเป็นอริต่อกันอย่างชัดเจนในหลายกรณี บ่อยครั้งที่มีข่าวว่าแวดวงไสยศาสตร์สร้างปรากฏการณ์ลี้ลับจนชาวบ้านแห่กันไปให้ความสนใจ วิทยาศาสตร์ก็ตามไปไขปริศนา อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเหตุด้วยผล ที่พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงวิธีการแหกตาชาวบ้าน หลอกลวงเพื่อหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ไหนแต่ไรมาวิทยาศาสตร์ถูกให้ความหมายว่า คือความรู้เกี่ยวกับสรรพสิ่งรอบตัวเรา ที่ได้จากกระบวนการค้นคว้าหาความรู้อย่างมีขั้นตอน มีระเบียบแบบแผน มีเหตุผล และหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ตามหลักวิชาการได้ แน่นอนว่าถ้าจะให้ความหมายแบบครอบคลุมก็คงยืดยาวกว่านี้ และถ้าตัดให้สั้นเหลือไว้เพียงการกระทำก็คือ อะไรที่สามารถพิสูจน์ที่มาที่ไปและนำวิธีการหรือย้อนกระบวนการนั้นมาสร้างใหม่ได้ ถึงจะรับรองได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์
ขณะที่ไสยศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของเวทมนตร์ คาถา อำนาจสมาธิจิต เป็นศาสตร์ที่ลี้ลับที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ พบเห็นได้จากทุกมุมโลก รูปแบบจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือ เป็นวิธีดึงพลังลึกลับมาใช้งาน
ทว่า ในโลกจินตนาการดูเหมือนสองสิ่งที่กล่าวมาจะเข้ากันได้ดี หรือกระทั่งกล่าวได้ว่ารวมหัวเออออเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะที่ปรากฏในนิยายวิทยาศาสตร์
หากยกตัวอย่างจากที่เป็นกระแสอยู่ก็ยิ่งเห็นชัด ใครเป็นแฟนหนังหรือการ์ตูนของค่ายมาร์เวล ย่อมเห็นตัวอย่างจากที่กล่าวมาชัดเจน โดยเฉพาะภาพยนตร์ในชุด ดิ อเวนเจอร์ ซึ่งเมื่อถอดโครงสร้างเนื้อหาตั้งแต่ปีแรกๆ ก็ยิ่งเห็นชัดว่าได้มีความพยายามรวมเวทย์กับวิทย์ให้พัฒนาคู่กันมาเพียงไร
ใครที่จำ “เทสเซอแรค” ที่เคยแสดงพลังใน Captain America : The First Avenger ก็คงเห็นแล้วว่าก้อนพลังงานที่องค์กรใต้ดินอย่างไฮดรา เรียกว่า “พลังของโอดิน” และถูกค้นพบโดยตัวละคร “เรดสกัล” ไฮดราระดับหัวแถวซึ่งแฝงตัวเข้าไปอยู่ในพรรคนาซีเยอรมัน กะโหลกแดงใช้อำนาจทางทหารที่ตัวเองมีจัดตั้งกองกำลังไปค้นหาเทสเซอแรค จนพบในสุสานโบราณในทอนสเบิร์ก นอร์เวย์ เมื่อได้มาก็ผุดห้องทดลอง ใช้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ให้นักวิทยาศาสตร์นาซีดัดแปลงและพัฒนาเทสเซอแรคให้เป็นขุมพลังของอาวุธร้ายให้องค์กรตัวเองมีอาวุธล้ำสมัยกว่าที่วิทยาศาสตร์ยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จะพัฒนาขึ้นได้
และแท้จริงแล้วเทสเซอแรคก็คือหินอินฟินิตี้ Space Gem สีม่วง ซึ่งมีพลังทำให้สามารถท่องอวกาศได้อย่างไม่จำกัด ด้วยการวาร์ปและส่งวัตถุขนาดใหญ่ผ่านประตูมิติได้นั่นเอง
แก่นสำคัญของหนังในช่วงนี้เองที่กำลังบอกเราว่า แต่ละยุคแต่ละสมัยวิทยาศาสตร์นั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัดที่ก้าวข้ามไม่พ้น จนกระทั่งมีพลังลึกลับ พลังจากจากเวทมนตร์มาทำลายกำแพงข้อจำกัดลง วิทยาศาสตร์จึงก้าวกระโดดพัฒนาตัวเองได้ และแม้แต่ โฮเวิร์ด สตาร์ค มหาเศรษฐีนักอุตสาหกรรมประธานบริษัท “Stark Industries” (บิดาของ โทนี่ สตาร์ค หรือตัวละครไอรอนแมนนั่นแหละครับ) ก็ตั้งตัวด้วยการต่อยอดพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองจากสิ่งที่ไฮดราได้จากการพัฒนาเทสเซอแรค
ไหนจะกรณีหินอินฟินิตี้ก้อนอื่นๆ ซึ่งตำนานตามท้องเรื่องในภาพยนตร์ชุดนี้เล่าว่า แต่กาลก่อน หินอินฟินิตี้เป็นเพียง 6 แหล่งพลังบริสุทธิ์ไร้รูปร่างตายตัว ก่อนถูกผนึกไว้ในรูปแบบของหินหลังจากจักรวาลยุคปัจจุบันกำเนิดขึ้น โดยมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ใจผู้ครอบครอง ณ เวลานั้นว่าต้องการผนึกหินเข้ากับอาวุธที่ใช้อยู่เพื่อเพิ่มพลังทำลายล้างหรือหลบซ่อนพลังของหินด้วยการผนึกกับสิ่งของรูปร่างอื่น หินอินฟินิตี้นั้นแยกกันอยู่ทั่วจักรวาล
เกิดสงครามแย่งชิงเพื่อหวังครอบครองพลังอำนาจของหินทั้ง 6 สี โดยชิ้นอื่นๆ ถูกอธิบายว่า Mind Gem สีน้ำเงิน มีพลังควบคุมจิตใจผู้อื่น เปลี่ยนแปลง ลบความจำ โทรจิต Soul Gem สีเขียว มีพลังถอดจิตออกจากร่าง ไปโจมตีหรือขโมยวิญญาณผู้อื่น Reality Gem สีเหลือง มีพลังเปลี่ยนแปลงความจริงทุกอย่างตามหลักวิทยาศาสตร์ Time Gem สีส้ม มีพลังควบคุมเวลาทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพิ่มลดอายุของสิ่งมีชีวิต Power Gem สีแดง มีพลังเพิ่มความแข็งแกร่งแบบไร้ขีดจำกัด
กลับไปที่วิทย์และเวทย์ในโลกจริง ซึ่งยังหักล้างกันต่อไปไม่สิ้นสุด บ้างก็มีนักวิทย์ออกมาบอกว่า แม้คนจำนวนไม่น้อยจะศรัทธาไสยศาสตร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ในชีวิตประจำวันก็ยังต้องพึ่งพาวิทยาศาสตร์อยู่ตลอด ขณะที่คนในสายเวทย์ได้แต่อมยิ้มที่ได้เห็นว่า แม้นักวิทย์จะพยายามบอกว่าไสยศาสตร์ส่วนใหญ่ (ก็แทบทั้งหมดแหละครับ) เป็นเรื่องโกหก แต่วัตถุมงคลก็ยังเป็นสินค้าขายดีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน