จากขาวไปเหลือง ตีตราด้วยสีผิว

10 มิถุนายน 2561

ชาวจีน ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกไกลทั้งหลาย ชอบผิวขาวมาแต่ไหนแต่ไร

ชาวจีน ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกไกลทั้งหลาย ชอบผิวขาวมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่การลงสีผิวแบบเกอิชา จนถึงกล้องหน้าของมือถือค่ายจีนที่ถ่ายหน้าออกมาขาววอกเป็นหลักฐานเรื่องนี้ได้ดี

แม้ฝรั่งนิยามชาวตะวันออกไกลว่าผิวเหลือง แต่ไม่มีดาราจีนคนไหนออกงานด้วยการทาขมิ้น แถมดาราสาวส่วนใหญ่กลับพยายามใช้ชีวิตใต้ร่ม หลบแดด ทาครีมต่างๆ นานา ให้ตัวเองมีผิวขาวกันแทบทั้งนั้น และผิวจริงของหลายคนก็ขาวยิ่งกว่าฝรั่งด้วยซ้ำไป

คำพูดที่ดูเป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์ว่า ชาวจีน หรือเอเชียเป็นชนผิวเหลือง จึงเป็นเรื่องฝรั่งตั้งให้และซ่อนปมเงื่อนอยู่ภายในยืดยาว

แน่นอนว่าแนวคิดแยกผู้คนด้วยสีผิวที่แตกต่างมีมาตั้งแต่โบราณ แต่แนวคิดแบ่งเขต แบ่งชาติพันธุ์ แบ่งสีผิว ให้อยู่ในหมวดหมู่กลุ่มก้อนเดียวกัน มาชัดเจนขึ้นเอาเมื่อยุคล่าอาณานิคมของฝรั่ง ซึ่งชิงนิยามว่าตัวเองเป็นพวกผิวขาว

จะว่าฝรั่งโกหกก็ไม่ใช่ เพราะฝรั่งมีผิวสีอ่อนกว่าจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบเพื่อนบ้านทางทวีปแอฟริกาที่ผิวเข้มกว่าอย่างชัดเจน

แต่ใช่ว่าฝรั่งทุกที่จะขาวจั๊วเป็นกระดาษ แต่ก็ยังขอนิยามว่าตัวเองขาว “White” ก่อน เพราะนัยของสีขาวในหลายวัฒนธรรมนั้นดูดี

ขาว แฝงนัยของความสะอาด สูงส่ง บริสุทธิ์

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า สีดำย่อมแฝงความหมายตรงกันข้าม พวกที่สีเข้มมากกว่าก็เอาคำว่า “ดำ” ไปซะ

เอาหละใครๆ ก็อยากดูดี ที่ฝรั่งเรียกตัวเองว่าชนผิวขาวจึงเข้าใจได้

แต่นิยามนี้เริ่มแสดงอิทธิพลบิดเบี้ยวไร้มาตรฐาน เช่น เมื่อฝรั่งยุคบุกเบิกโลกเจอกับอารยธรรมใหม่ มักมีแนวโน้มลวงตาว่าอารยธรรมที่ดูเจริญรุ่งเรืองมีผิวขาวไม่ต่างกับตน (และส่วนไหนที่ป่าเถื่อน ฝรั่งก็เลือก “ใส่สี” ผิวให้เข้มขึ้น)

ด้วยมาตรฐานนี้ เมื่อแรกที่ฝรั่งพบจีน ชาวจีนจึงไม่ได้มีผิวเหลือง แต่มีผิวขาว

ช่วงนั้นคือช่วงตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 13 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16 ช่วงยุคที่มาร์โคโปโล สร้างภาพฝันว่าอาณาจักรจีนอันยิ่งใหญ่เหนืออารยธรรมอื่นใด บันทึกในยุคนั้นต่างบอกว่าชาวจีนมีผิวสีขาว

และเมื่อ โตเม ปิริส (Tome Pires) เภสัชกรชาวโปรตุเกส เดินมาถึงกว่างโจวในปี ค.ศ. 1561 ในบันทึก “Suma Oriental” ของเขาเขียนว่า “สาวชาวจีนมีผิวขาวเหมือนพวกเรา... ดูแล้วอย่างกับสาวชาวสเปน”

นี่ขนาดปิริสได้แต่อยู่แถบกว่างโจวและเจียงซู โดยไม่เคยได้ไปเยี่ยมเยือนจีนทางเหนือเลย (เพราะช่วงนั้นซึ่งอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงฝรั่งถูกจำกัดพื้นที่ไม่สามารถเดินทางไปทั่วอาณาจักรจีนได้ตามใจ)

ไม่ใช่แค่ชาวจีน เมื่อปิริสเดินทางไปญี่ปุ่น เขาก็บันทึกไว้ว่าชาวญี่ปุ่นก็มีผิวขาวไม่ต่างกับฝรั่ง

แต่หลังจากนั้น มาตรฐานสีผิวของฝรั่งก็เริ่มมีกรรมวิธีมองแบบใหม่ นั่นก็คือ “ชนชาติไหนนับถือศาสนาคริสต์ชนชาตินั้นก็ขาวขึ้น”

ซึ่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ชาวญี่ปุ่นทำคะแนนความขาวได้ดี เพราะมีจำนวนผู้นับถือศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้นทุกวี่วัน ฝรั่งจึงบันทึกว่า ชาวญี่ปุ่นขาวกว่าชาวจีน แต่หลังจากญี่ปุ่นมีนโยบายปิดประเทศ และห้ามประชาชนนับถือคริสต์ในปี 1614 สีผิวชาวญี่ปุ่นในบันทึกของฝรั่งจึงเข้มขึ้นเรื่อยๆ

ยุคนั้นโอโซนคงไม่ได้จงใจกลวงโบ๋ที่ญี่ปุ่น แต่บันทึกของฝรั่งในยุคนั้นต่างบรรยายสีผิวชาวญี่ปุ่นไปในทิศทางเดียวกัน คือผิวเข้มขึ้น ไม่ขาวแล้ว

ต่อจากนั้นวิทยาศาสตร์จึงเริ่มเข้ามาเอี่ยว

คาร์ล ฟอน ลินเนย์ (Carl von Linne) นักชีววิทยาชาวสวีเดน บิดาแห่งอนุกรมวิธานทางชีววิทยา (ผู้คิดค้นการแบ่ง สปีชีส์ ไฟลัม คลาส ฯลฯ และนิยามมนุษย์ด้วยคำว่า Homo Sapiens) ได้แบ่งคนเป็น 4 ประเภท...

ลินเนย์ แบ่งคนเป็น ชาวยุโรป-ผิวขาว/อเมริกา-ผิวแดง/เอเชีย-ผิวน้ำตาล/แอฟริกา-ผิวดำ ไล่โทนจากอ่อนไปเข้มอย่างงดงาม

เมื่อบทความของลินเนย์ได้รับความนิยมจากบทความสิบกว่าหน้าในปี 1735 ลินเนย์จึงออกเป็นหนังสือหนา 1,300 หน้า และเมื่อปี 1758 ที่หนังสือถูกพิมพ์ครั้งที่ 10 ลินเนย์เห็นว่าสีน้ำตาลที่เคยนิยามผิวคนเอเชียดูเข้มไป จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่าผิวเหลืองแทน

แต่คำว่าเหลือง (ในภาษาละติน) ที่ลินเนย์ใช้มีปัญหา เพราะมีนัยรวมถึง หม่นหมอง ห่อเหี่ยว สีเหมือนภูตผีวิญญาณ ซึ่งเป็นความหมายลบ ลินเนย์ยังใช้คำว่า “สีเหลือง” ในภาษาละตินคำนี้กับพืชที่ไม่แข็งแรง และเป็นโรค

และนี่คือจุดเริ่มต้นของผิวสีเหลืองของชาวเอเชีย

ป.ล.ข้อมูลส่วนใหญ่ของบทความนี้เรียบเรียงมาจากหนังสือ Becoming Yellow : A Short History of Racial Thinking แต่งโดย Michael Keevak

Thailand Web Stat