"สรรพากร"แจงเว้นภาษี"แจ๊คหม่า"ตามเงื่อนไขบีโอไอ
กรมสรรพากร ชี้แจง กรณีเว้นภาษี "แจ็คหม่า" 13 ปี เป็นไปตามเงื่อนไขบีโอไอ ส่วนคนไทยเก็บภาษีออนไลน์ตามกฎหมาย เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือเก็บภาษีวัด-พระ
กรมสรรพากร ชี้แจง กรณีเว้นภาษี "แจ็คหม่า" 13 ปี เป็นไปตามเงื่อนไขบีโอไอ ส่วนคนไทยเก็บภาษีออนไลน์ตามกฎหมาย เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลือเก็บภาษีวัด-พระ
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.61 ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ว่าคนไทยขายของออนไลน์รัฐบาลนี้ออกกฎหมายขูดรีดภาษี แต่ยกเว้นภาษี 13 ปี ให้แจ็คหม่า มาลงทุนขายของออนไลน์ในไทยนั้น กรมสรรพากร ขอเรียน ดังนี้
1.ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการทางออนไลน์มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายปัจจุบันอยู่แล้วเช่นเดียวกันกับผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการที่มีร้านค้า รัฐบาลไม่ได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมแต่อย่างใด
2.ปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจทางออนไลน์ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี คือการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการต่างประเทศ ที่ให้บริการลูกค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและการแข่งขัน อันเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ได้มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจในต่างประเทศอย่างครบถ้วน จึงทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยที่ต้องเรียกเก็บและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเสียเปรียบ
3.กรณีสิทธิประโยชน์ทางภาษีของอาลีบาบานั้น เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้ชี้แจงไปแล้วว่า "การได้รับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ BOI ซึ่งสิทธิประโยชน์พื้นฐานจะแตกต่างกันไปตามประเภทกิจการ โดยกิจการประเภทเดียวกัน จะได้รับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์เดียวกัน ในปัจจุบันการส่งเสริมการลงทุนจะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรมบุคลากรควบคู่ไปด้วย
นอกจากสิทธิประโยชน์พื้นฐานแล้ว ผู้ขอรับการส่งเสริมยังอาจได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมด้านการพัฒนาเทคโนโลยี หากมีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด การพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนให้กับอาลีบาบานั้น BOI จะมีการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนประกาศกำหนด ซึ่งมิได้เป็นการให้เฉพาะเจาะจงกับรายใดรายหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ"
นอกจากนั้น หากพิจารณาประเภทกิจการที่รัฐต้องการส่งเสริมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนและกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะพบว่า ไม่ใช่กิจการที่แข่งขันกันกับผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการทางออนไลน์แต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยขอให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161และหากพบเห็นการกระทำใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่างๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู "การแจ้งแหล่งภาษี" เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
นอกจากนี้ กรมสรรพากร ยังได้เผยแพร่เอกสารชี้แจง โดยระบุว่า ตามที่ได้มีการแชร์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่ากรมสรรพากรจะเก็บภาษีจากวัด และต้องการให้พระทุกรูปเสียภาษีผ่านบัญชีกลางของวัดนั้น กรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1.วัดมิได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร จึงไม่มีหน้าที่ในการเสียภาษี ดังนั้น รายได้ที่วัดได้รับจึงไม่มีภาระภาษี และกรมสรรพากรไม่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบรายได้หรือตรวจสอบการเสียภาษีของวัดแต่อย่างใด
2.กรมสรรพากรได้จัดทำระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) เพื่ออำนวยความสะดวกให้วัดและผู้บริจาคเงินที่ประสงค์จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่านั้น โดยเมื่อวัดกรอกข้อมูลการรับบริจาคบนระบบของกรมสรรพากรแล้ว วัดจะไม่มีภาระในการจัดทำใบอนุโมทนาบัตร รวมถึงผู้เสียภาษีก็ไม่ต้องเก็บหลักฐาน การบริจาคเงินเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้
3.ในส่วนของวัดที่มีการรับบริจาคผ่าน QR Code เป็นการให้บริการของธนาคารแก่วัดตามความสมัครใจของวัด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกรมสรรพากร
4.สำหรับการกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชี ลงบัญชีรายรับ รายจ่าย หรือรายการต่างๆ นั้นมิได้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรก็มิได้มีนโยบายให้วัดต้องจัดทำบัญชีดังกล่าวแต่อย่างใด
กรมสรรพากร ขอเรียนยืนยันว่ากรมสรรพากรไม่มีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีจากวัดหรือพระภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร.1161