ใบหยกปั้น 7 แบรนด์ รุกธุรกิจอาหาร
หลังตั้ง บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันกลุ่มใบหยกมีธุรกิจร้านอาหารที่อยู่ในความดูแลด้วยกัน 6 แบรนด์
โดย...จะเรียม สำรวจ
หลังจากก่อตั้ง บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันกลุ่มใบหยกมีธุรกิจร้านอาหารที่อยู่ในความดูแลด้วยกัน 6 แบรนด์ ประกอบด้วย ร้านอุชิดายะ ราเมน ร้านเซไค โนะ ยามะจัง ร้าน อิโคชะ ราเมน ร้านพาโบล ชีส ทาร์ต ร้านโมโมทาโร่ ราเมน และร้านแกรม คาเฟ่ แอนด์ แพนเค้ก ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ล่าสุด
นอกจากนี้ ในอีก 2 สัปดาห์นับ จากนี้ กลุ่มใบหยกยังมีแผนที่จะเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์น้องใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหารอีก 1 แบรนด์ เพื่อเป็นแบรนด์ที่ 7 คือ ไทยโชว เกี๊ยวซ่า หลังจากนั้นภายในปี 2562 ก็จะทำการเปิดตัวร้านอาหารประเภทปิ้งย่างอีก 1 แบรนด์
ปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกรรมการกลุ่มโรงแรมใบหยก และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม กล่าวว่า การที่บริษัทหันมาให้ความสนใจทำธุรกิจร้านอาหาร เพราะเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และยังสามารถขยายตัวได้อีกมาก โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารจากประเทศญี่ปุ่น เนื่อง จากคนไทยมีความชื่นชอบ ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการซื้อแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น ทั้งประเภทอาหาร คาวและอาหารหวานเข้ามาทำตลาด ในประเทศไทย รวมไปถึงการพัฒนาแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดด้วยตัวเอง
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ กลุ่มใบหยกมีแผนที่จะใช้งบ 70 ล้านบาท ขยายร้านอาหารในเครืออีก 6 สาขา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและเพิ่มยอดขายสิ้นปีให้เติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 15% เพื่อให้ปี 2563 มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 350-400 ล้านบาท เนื่องจากปีดังกล่าวกลุ่มใบหยกมีแผนที่จะนำบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มใบหยกตัดสินใจที่จะนำบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง เข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหตุผลหลักคือ การระดมทุนมาลงทุนขยายธุรกิจร้านอาหาร ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจร้านอาหารแช่แข็งพร้อมทาน ซึ่งเบื้องต้นกลุ่มใบหยกมองช่องทางการทำตลาดไว้ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ
ปิยะเลิศ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทได้ทำการเตรียมความพร้อมในการก่อสร้างครัวกลางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ ร้านอาหารในอนาคต ซึ่งจะมีทั้งร้านอาหารและอาหารแช่แข็งพร้อมทาน
จากแนวทางการทำธุรกิจร้านอาหารดังกล่าว กลุ่มใบหยกคาดหวังว่า ภายในปี 2563 กลุ่มธุรกิจร้านอาหารน่าจะมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 5-10% ของรายได้รวมทั้งเครือ ซึ่งรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่จำนวน 9 แบรนด์
จะเห็นได้ว่าภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยในปีนี้ยังคงมีความรุนแรงเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ประกอบการ รายใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีการแข่งขันในด้านของราคาค่อนข้างรุนแรง แต่สำหรับบริษัทไม่มีนโยบายเข้าไปแข่งขันในเรื่องดังกล่าว